จินฮยอนช็องมยองสนองนีท- OOC OOC OOC นี่เรือผีเราเอง (อาจจะมีกอมแจช็องปนด้วยนิดหน่อย) และเราไม่เสียใจที่เขียนมัน แค่คุณกดเข้ามาดูใส่พาสเวิร์ดก็แสดงว่าคุณยอมดูแล้ว เราไม่ผิด เราไม่ผิด แต่จะเลื่อนอ่านต่อเพราะชอบก็เอ่อ… ขอบคุณนะคะที่รักกัน ถ้าคุณตัดสินใจลงเรือนี้ด้วยกันก็บอกกันผ่านโทรจิตก็ได้นะคะ เราจะดีใจมากเลย คือมันเป็นเรือผีแบบ นุเขียนอยู่คนเดียวมั้งตอนนี้
- Canon paro มีสปอย700+
- เป็นเหตุการณ์หลังสงครามเทพมารครั้งที่ 2 จบแล้ว
——
“มิใช่ว่าเมื่อวานก็มาเยี่ยมเยือนไปแล้วรอบหนึ่งหรือ”
“ข้ากลับมาเพราะลืมนำสุรามาไว้ให้เขา”
“บรรพบุรุษของสำนักเราเป็นนักพรตแท้ หาได้ชื่นชอบการดื่มสุราเสียหน่อย”
“กับบุรุษที่ต้องเดินตามหลังข้าแล้วขานเรียกข้าว่า/ฮยองนิม/ เจ้าคิดว่านิสัยเขาจะเปลี่ยนไปเพียงใดเล่าเมื่ออยู่กับข้า เคยเห็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าหรือไม่ เขามาหาข้าแล้วเมากลับไปเหมือนกันนี่แล”
จินฮยอนก้มลงมองคนตรงหน้าด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย แต่ก็มิวายถอนหายใจแล้วยอมหลีกให้เข้าแต่โดยดี ช็องมยองเห็นดังนั้นก็เผยยิ้มออกมา ยกมือขึ้นไปตบไหล่อีกฝ่ายสักสองสามครั้ง ก่อนจะเดินผ่านประตูสำนักไปด้วยเสียงฮัมเพลงอารมณ์ดี
ชายที่ถูกทิ้งให้ยืนอยู่ตรงประตูสำนักคนเดียวได้แต่ทอดถอนหายใจ ปกติแล้วพวกเขาไม่ควรเปิดประตูให้คนนอกเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้าเสียด้วยซ้ำ ทว่าถ้าคนผู้นั้นเป็นฮวาซานกอมฮยอบนั่นคงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ก็คนคนนี้ นอกจากทางสำนักจะติดค้างในสิ่งที่เคยทำให้ลำบากครั้งอยู่ตรงแม่น้ำฉางเจียงแล้ว เขายังเป็นวีรบุรุษในสงครามเทพมารครั้งที่สองอีกต่างหาก ทั้งยังเผยตัวตนไม่นานมานี้ว่าเป็นแมฮวากอมจนเมื่อร้อยปีก่อนด้วย
แม้เรื่องนี้จะฟังดูไร้สาระเพียงใด แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเขาก็ไม่คิดสงสัยถ้อยคำนี้แต่อย่างใด
อาจเป็นเพราะ… ตัวตนของเขาค่อนข้างชัดเจนแต่แรกแล้วกระมัง
นี่เป็นสาเหตุที่ว่าไยช็องมยองถึงปรากฎตัวหน้าประตูสำนักมูดังบ่อยครั้ง — ความจริงมาแค่หนึ่งปีครั้ง ทว่าอย่างไรก็มิทำให้ท่านเจ้าสำนักเหนื่อยใจอยู่ดี ที่ได้ยินเสียงเคาะประตูเรียกจากกอมฮยอบ — โดยมักใช้ข้ออ้างว่ามาเยี่ยมสหายเก่าที่ลาลับไปแล้ว อย่างกอมแจ
เนื่องเพราะมูจินและจินฮยอนเป็นผู้มีประสบการณ์กับช็องมยองมากที่สุด จึงได้รับมอบหมายให้เฝ้าดูเขาระหว่างการเยี่ยมเยือน แต่พักหลังมานี้เพราะศิษย์พี่ใหญ่ยุ่งกิจสำนัก จึงมาเฝ้ามิได้แล้ว ทิ้งให้จินฮยอนจัดการเมื่อช็องมยองมาเคาะประตูสำนักเพียงผู้เดียว
จินฮยอนนึกย้อนไปถึงเหตุผลที่ตนมาอยู่ตรงนี้แล้วได้แต่ส่ายศีรษะด้วยความระอา ไม่นานนักก็เอื้อมมือไปดึงประตูสำนักปิดดังเดิม เท้ากำลังจะก้าวเดินไปตามทางหอบรรพชน เมื่อดวงตาเลื่อนสังเกตเห็นนภาเบื้องบนเสียก่อน
มืดครึ้มเช่นนี้ มิช้าก็เร็ว หยาดฝนต้องตกลงมาแน่
เห็นดังนั้น จากเดิมทีจะก้าวไปยังหอบรรพชนจึงเปลี่ยนไปห้องตนเองแทน เลื่อนประตูเปิดไปหยิบร่มกระดาษพิงอยู่ตรงผนัง แล้วจึงเริ่มเดินไปยังจุดหมายปลายทางอีกครั้ง
“ชักช้าเสียจริง ข้าจวนจะพูดคุยกับเขาเสร็จแล้วกระมังนั่น” เสียงของช็องมยองทักขึ้น ก่อนจินฮยอนจะเดินถึงหน้าประตูหอบรรพชนเสียด้วยซ้ำ ขณะมือเรียวเต็มไปด้วยแผลเป็นค่อยๆ วางสุราไว้ตรงหน้าแท่นบรรพบุรุษสลักนาม ‘แทกักกอมแจ’ อย่างระมัดระวัง
ไม่นานนัก ช็องมยองก็หันมามองเขา “โดนท่านเจ้าสำนักดุมาเรื่องข้างั้นหรือ”
“ท่านเจ้าสำนักยินยอมให้เจ้าเข้ามาแล้ว เขาจำเป็นต้องดุข้าเรื่องใดอีกเล่า” จินฮยอนถอนหายใจหน่ายๆ “ข้าไปเอาร่มมา เผื่อฝนตกกะทันหัน ด้วยสภาพฝนโดนไม่ได้แดดโดนไม่ดีเช่นเจ้า หากให้โดนแม้แต่หยดเดียว ข้าคงโดนทั้งชอนอูแมงสาปแช่งเป็นแน่”
“ถึงกระนั้นข้าก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าไยจึงต้องพกมาคันเดียว”
“หนึ่งศิษย์ควรมีสิ่งของแต่พอดี จะให้ข้าไปขอร่มศิษย์น้องมาก็กระไรอยู่ ในเมื่อข้าเองก็มีร่มของตัวเอง”
ช็องมยองกลั้วหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าไปวุ่นกับแท่นบรรพบุรุษอีกครา “เจ้านี่ช่างเหมือนเขาเสียจริง ทำเอาข้านึกถึงแทกักกอมแจได้เสมอเลย”
กับถ้อยคำนั้น ทำเอาจินฮยอนชะงักไปพักหนึ่ง เนตรเปี่ยมไปด้วยความลังเล ก่อนตัดสินใจไถ่ถามออกไป “เจ้ากับบรรพบุรุษข้า… มีความสัมพันธ์กันอย่างไรกันแน่”
“ข้าว่าที่เจ้าต้องการถามอาจเป็น ‘เขาเป็นคนอย่างไรกันแน่’ เสียมากกว่า— มานั่งตรงนี้ ข้าจะเล่าให้ฟัง”
ว่าแล้วช็องมยองก็ตบพื้นกระเบื้องข้างกายด้วยแรงไม่หนักไม่เบานัก บอกใบ้ให้จินฮยอนมานั่งลงตรงนั้น รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนใบหน้ากอมฮยอบครั้นเห็นอีกคนเดินมานั่งแต่โดยดี
“หากเจ้ายังจดจำครั้งแรกที่เราทั้งคู่พบกันได้ ข้าอยากบอกเจ้าว่านิสัยเจ้าคล้ายเขาอยู่ไม่เบาเลย”
จินฮยอนใช้เวลานึกครู่หนึ่ง ทว่าคิดเรื่องวันวานไปได้ไม่เท่าไร ก็เป็นต้องกระแอมไอด้วยใบหน้าขึ้นสีเลือดฝาดเสียก่อน ประสบการณ์และความประทับใจแรกที่เขามีต่อช็องมยอง และช็องมยองมีต่อเขานั้นไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
ก็เล่นจะไปถล่มสำนักนอกเจ้าตัวเพื่อความโลภเช่นนั้น ผู้ใดอยากนึกถึงเรื่องน่าอายปานนั้นบ้างเล่า
ราวกับว่ารู้ใจว่าจินฮยอนอับอายเพียงใด ช็องมยองก็หัวเราะออกมาแต่ไม่คิดจี้ให้จำต่อ เขากล่าวต่อ “เขาเป็นนักพรตที่ถือวิถีนักพรตอย่างจริงจังคนแรกที่ข้าพบเจอ คราแรกที่ได้พบก็ประหลาดใจอยู่เหมือนกัน ที่มีคนคลั่งเต๋าขนาดอยากสั่งสอนให้ข้าเดินทางเต๋าจริงจังตามเขาด้วย”
กับคำนั้น จินฮยอนเลิกคิ้วตาเบิกโพลง “บรรพบุรุษข้าทำเรื่องเช่นนั้นหรือ”
“เจ้าไม่เชื่อล่ะสิว่าครั้งหนึ่งกอมแจสำนักเจ้าเองก็เคยสู้ข้าเพราะเรื่องเด็กเล็กมาก่อน ข้าเข้าใจเจ้า อย่างไรข้าในฐานะบรรพบุรุษของฮวาซานเองก็ไม่มีผู้ใดเชื่อเหมือนกัน”
“นั่นก็เป็นเพราะนิสัยของเจ้าไม่เหมาะมิใช่หรือไรกัน…”
ทำเป็นไม่ได้ยินถ้อยคำของเขา ช็องมยองยักไหล่เอ่ย “อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้บันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ของสำนักมูดัง แต่เขาพ่ายให้ข้าในเวลาต่อมา จากที่จะสั่งสอนกลับต้องมาลดตัวเรียกข้าว่าฮยองนิมแทน” จากนั้นจึงขยิบตาหยอกจินฮยอน “หาใช่ข้าที่แพ้ให้เขาอย่างที่พวกเจ้าเข้าใจหรอกหนา”
ฝ่ายหลังอยากเถียงกลับใจจะขาด ทว่าด้วยความสามารถของช็องมยองที่พวกเขาเห็น ก็ทำเอาไม่กล้าแย้งเลยจริงๆ ว่าอาจเป็นแทกักกอมแจที่คว้าชัย แล้วแมฮวากอมจนมาโม้ว่าตนชนะก็ได้
“รู้หรือไม่ว่านิสัยนี้ของเขาช่างคล้ายกับพวกเจ้าเสียจริง โดยเฉพาะกับเจ้าที่อาจบ้าเต๋าพอๆ กับเขา” ช็องมยองแย้ม “ข้ายังจำครานั้นที่เจ้าเกาะแขนเสื้ออาภรณ์ข้า ขอร้องวอนมิให้ข้าใส่หมัดเข้าหน้าศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าได้อยู่เลย ภาพซ้อนทับกับเขายามขอร้องมิให้ข้าซัด ชัดเจนมากในยามนั้น เจ้ารู้ตัวหรือไม่ คิกคิก”
“……”
แล้วภาพวันวานที่จำเป็นต้องคุกเข่าเกาะแขนเสื้อช็องมยอง ก็ล่องลอยเข้ามาในหัวของจินฮยอน
ผู้คนต่างบอกว่าช็องมยองช่วงนี้ชอบกล่าวถึงเรื่องน่าอายในวันวาน คราแรกก็ไม่ค่อยเชื่อนักหรอกว่าอย่างเขาจะจดจำเรื่องราวการพบปะกันได้ — อย่างไรคนผู้นี้ก็ย่ำแย่เรื่องความจำมาแต่ไหนแต่ไร — พอมาเจอกับตนเองก็ทราบแล้วว่าช็องมยองเลือกจดจำแต่เรื่องที่นำกลับมาล้อได้จริงๆ
“เอาล่ะๆ กิจข้าก็เสร็จสิ้นแล้ว คงได้เวลากลับแล้ว”
ช็องมยองกล่าวพลางลุกขึ้นยืน เตรียมหมุนเท้าก้าวผ่านธรณีประตูออกไปกลับสำนักฮวาซาน เมื่อมีมือมารั้งข้อมือเขาเอาไว้ก่อน
“หืม นี่เจ้า—”
จินฮยอนตอบอย่างใจเย็น พร้อมออกแรงดึงเล็กน้อยให้อีกคนกลับเข้ามาข้างใน “ฝนกำลังตก อย่าพึ่งรีบออกไป”
“งั้นหรือ” ช็องมยองเอียงศีรษะหันมองไปยังนอกบานประตู ภาพทิวทัศน์ตรงหน้าแลดูเหมือนไม่มีอันใดในคราแรก ทว่าไม่นานก็มีหยดน้ำร่วงลงมาต่อทอดกันเป็นสาย เห็นดังนั้นเขาก็อดเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจมิได้ “เห็นทีต้องเลื่อนเวลากลับฮวาซานแล้ว”
จินฮยอนฟังเขาพร่ำบ่นสารทฤดูขณะมือกางร่มไปด้วย จากนั้นนำร่มมากางไว้เหนือศีรษะของพวกเขาทั้งสอง “รอฝนซาก่อนแล้วค่อยไปก็ได้ ตะวันยังไม่ลับฟ้า อย่างไรก็กลับฮวาซานทันอยู่แล้ว”
“กลับทันแต่กลับค่ำน่ะสิ ข้าเล่าเซ็งจริงๆ หากชักช้ากว่านี้ต้องโดนดงรยงบ่นแน่นอน” ช็องมยองถอนหายใจหนัก
“ไปรอเรือนรับรองแขกก่อนเถิด รอฝนหยุดอยู่ตรงนี้จะดูไม่ดีเอา”
“โอ้ ใส่ใจภาพลักษณ์การรับแขกอย่างข้าด้วยหรือนี่ นึกว่ามูดังจะเบื่อหน้าข้าจนไม่อยากรักษามารยาทแล้วเสียอีก”
“…ทางสำนักเคยทำผิดต่อเจ้าก็จริง แต่ก็หาใช่สาเหตุที่ต้องปฏิบัติกับแขกไม่ดีเสียหน่อย”
“อ่าๆ ไม่หยอกเจ้าเล่นแล้ว นำข้าไปยังเรือนรับแขกเถิด”
ด้วยเท้าหนึ่งก้าวเดินออกไปพร้อมร่มในมือ จินฮยอนเอียงร่มไปทางช็องมยอง เพื่อรับคนเบื้องในหอบรรพชนใต้ร่ม มิสนใจว่าสายฝนจะโปรยลงมาเปียกไหล่เท่าใด
ช็องมยองเดินไปข้างใต้ร่มกระดาษแต่โดยดี เห็นดังนั้น จินฮยอนจึงหักร่มกลับให้บังพวกเขาทั้งสองเช่นเดิม
“เด็กสมัยนี้ ไยชอบปฏิบัติต่อข้าเฉกเช่นผู้ป่วยนัก”
“ไม่ว่าผู้ใดก็ทราบดีว่าเจ้าอ่อนแอหลังสงครามมาก หากข้าไม่ดูแลอย่างใกล้ชิดตามที่ท่านเจ้าสำนักบอก เกรงว่าจะเป็นการประกาศสงครามกับทั้งชอนอูแมงเอา”
“ข้ามิเห็นทราบเลยว่าท่านเจ้าสำนักบอกให้เจ้านำสุขภาพข้ามาก่อนศิษย์ของตนด้วย” ดวงเนตรดอกเหมยปรายตามองไปยังอาภรณ์ตรงไหล่ของอีกฝ่าย ซึ่งเปียกชุ่มฝนเป็นจุดใหญ่ “เขาไม่คิดสนใจศิษย์ตัวเองแล้วงั้นหรือ”
“……” จินฮยอนเงียบไปชั่วครู่ “เปียกเท่านี้มิทำให้ข้าป่วยหรอก แต่เจ้า โดนแค่หยดเดียวก็จับไข้แล้วกระมัง”
ช็องมยองระเบิดหัวร่อออกมาเสียงดัง “ความคิดของพวกเจ้าแต่ละคนนี่— ขนาดแพทย์ประจำตัวอย่างศิษย์น้องหญิงข้าคงต้องยกนิ้วให้เลยกระมัง คิดอันใดประหลาดกันนัก แก่นปราณข้าแม้จะเสียหายไปมาก ทว่าข้าก็ไม่ได้อ่อนแอเทียบเท่าสามัญชนทั่วไปเสียหน่อย”
ท่ามกลางสายฝนตกพรำ พวกเขาทั้งสองเดินฝ่าไปด้วยกันพร้อมร่มหนึ่งคันในมือของจินฮยอน หลังช็องมยองกล่าวจบ ก็ไม่มีผู้ใดพูดต่อหลังจากนั้นอีก
ครั้นถึงเรือนรับแขก ช็องมยองก็ถูกทิ้งให้นั่งอยู่คนเดียว ส่วนตัวผู้เดินทางร่วมมาด้วยกันก่อนหน้านี้ จะไปเตรียมชามาให้ดื่มอุ่นร่างกาย ซึ่งผู้เป็นแขกครั้นได้ยินเช่นนั้นก็ยอมนั่งรอแต่โดยดี ถึงอยากนอนบนพื้นเรือนรอเพราะเบื่อหน่ายก็ตาม
ไม่นานนัก จินฮยอนก็กลับเข้ามาในเรือนรับรองแขกพร้อมถาดน้ำชาในมือ เขานั่งลงนำถ้วยชามาวางตรงหน้าช็องมยอง จากนั้นจึงหยิบกาน้ำชามารินให้ตามอย่างบรรจง ฝั่งผู้เป็นแขกเท้าคางเฝ้ามองท่าทีนั้นพลางยกยิ้มไปด้วย
สังเกตเห็นรอยยิ้มนั้น ด้วยความสงสัย จินฮยอนเลยถามออกไป “มีเรื่องใดน่ายินดีงั้นหรือ”
“ไม่มีอันใด แค่รู้สึกว่าสำนักมูดังของพวกเจ้านี่ช่างนักพรตเสียเหลือเกิน กระทั่งคำพูดยันการกระทำก็ยังนักพรตอยู่ แม้ครั้งแรกที่พบเจอพวกเจ้าจะหักเหจากวิถีนักพรตไปมากก็ตาม” ช็องมยองส่ายศีรษะน้อยๆ “พักหลังมานี้ สงครามจบลง ก็กลับไปอ่านแต่ตำราเต๋าเช่นเดิมแล้วงั้นหรือ”
“พ-พวกข้าถูกสอนให้ปฏิบัติเช่นนี้มาแต่แรกแล้ว กิริยานี้ควรเป็นสิ่งแรกที่พวกเจ้าได้เห็นด้วยซ้ำ ทว่ายามนั้นแค่ยังไม่แสดงออกชัดเจนเท่านั้นเอง…”
“เอาเถิดๆ ข้าเข้าใจดี มีข้าและศิษย์พี่คอยกวนประสาทพวกเจ้าเช่นนั้น อย่างไรก็ไม่มีทางรักษาท่าทีได้ดังเดิมอยู่แล้ว”
กล่าวแล้ว ช็องมยองก็หันสายตามองไปยังนอกประตูเรือนรับรองแขกซึ่งเปิดออกกว้างเอาไว้ ให้เห็นบรรยากาศภายนอกว่าเป็นเช่นไรบ้าง หยดสายฝนยังคงร่วงหล่นลงมาไม่มียั้ง คลับคล้ายว่าฟ้าฝนพิโรธใส่ผู้ใดมาอย่างไรอย่างนั้น
เสียงฝนกระทบหลังคาค่อยๆ ดังขึ้นและชะงักช้าลงไปในบางช่วง หากเป็นเช่นนี้คาดว่าไม่นานฝนคงหยุด หรือไม่ก็อาจแปรเปลี่ยนเป็นตกแค่พรำๆ เหมือนก่อนหน้านี้แทน ไม่หนักมากไม่เบามาก แต่พอสะดวกในการเดินทางได้อยู่
“ข้าไม่ได้บอกผู้ใดว่าจะมาสำนักมูดังวันนี้” อยู่ๆ ช็องมยองก็เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ถ้อยคำนั้นดึงความสนใจจากจินฮยอนไปได้เกือบจะทันที “ฉะนั้นเรื่องที่เกิดในวันนี้ จะไม่มีผู้ใดทราบนอกจากข้า เจ้า และสำนักมูดัง”
“…พูดจริงหรือ”
“แน่นอน หากเจ้าเตรียมกำลังคนมาซัดข้าในวันนี้ กว่าพวกเขาจะทราบก็คงเป็นสามวันหลังนู่น ทว่าอย่างไรก็ตาม เพราะข้ามิได้บอกผู้ใดนี่แล ข้าจึงต้องรีบกลับ ทว่าฝนแลดูจะไม่ค่อยเป็นใจเท่าไรนัก จะให้ข้าฝ่าฝนในสภาพนี้กลับไป ก็เกรงว่าจะโดนพวกเขาดุเอา”
จินฮยอนมองตามเนตรดอกเหมยไปทางนอกบานประตูของเรือน เฝ้ามองหยาดฝนร่วงลงมาสักครู่ ก่อนเอ่ยว่า “ไม่นานเดี๋ยวฝนคงซาลงแล้ว”
“แค่ซาลงงั้นหรือ”
“อืม ข้าคิดว่าอย่างนั้น”
“อีกนานเท่าใดถึงจะหยุดตกเล่า”
“อาจอีกสักชั่วยามหนึ่ง ทว่าไม่นานคงตกลงมาใหม่ อย่างไรก็สารทฤดู ครั้นตกลงมาแล้วก็ไม่หยุดลงง่ายๆ”
“สงสัยเป็นความผิดข้าเองที่แอบออกมาสำนักมูดังในวันนี้” ช็องมยองถอนหายใจ “ข้ารอถึงปานนั้นมิได้หรอก จำเป็นต้องกลับตอนฝนซานี่แล”
มุมปากของจินฮยอนโค้งลงเล็กน้อย “หากเป็นเช่นนั้น ชอนอูแมงจะไม่ว่าพวกข้าเอาหรือ พักอยู่ที่นี่สักคืนเป็นอย่างไร”
“ไม่ได้ไม่ได้ หากข้าอยู่นี่ วันดีคืนดีประเดี๋ยวก็โดนสังหารยามหลับหรอก”
“มีข้าอยู่นี่ ผู้ใดกล้าต้องเจ้าด้วยหรือ”
“เด็กคนนี้เลือกใช้อำนาจเข้าสู้หรือนี่ เป็นแค่ศิษย์พี่ใหญ่คนหนึ่งของพวกเขาก็เปรี้ยวถึงเพียงนี้เชียว”
เสียงเกือบพ่นชาออกปากของจินฮยอน ทำเอาช็องมยองหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขายื่นกายเข้าไปใกล้แล้วใช้มือตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ พึมพำกล่าวปลอบว่าหยอกเล่นซ้ำไปซ้ำมา จนสีหน้าฝั่งศิษย์สำนักมูดังดีขึ้น
“แต่ข้าพูดจริง ข้าอยู่ที่นี่มิได้ อย่างไรก็ไม่ได้บอกพวกเขาเอาไว้ว่าจะไปที่ใดวันนี้ หากมิกลับไปวันนี้ มีหวังสำนักเจ้านี่แลจะเดือดร้อนกว่าเก่า”
“…เข้าใจแล้ว ข้าก็ไม่ได้หวังให้อยู่ขนาดนั้นเสียหน่อย”
“หืม บางทีหากวันหลังข้าขอแล้ว อาจค้างคืนที่นี่จริงก็ได้หนา ยามนั้นเจ้าก็เอาห้องเจ้าให้ข้าอยู่ด้วยเล่า”
เห็นจินฮยอนเกือบพ่นชาออกมาอีกครั้ง ช็องมยองก็เริ่มสงสารอีกคนขึ้นมาบ้างแล้ว อันใดมันจะขนาดนั้นเล่า หนุ่มเอ้ย
จินฮยอนถามตะกุกตะกัก “ห-ห-ห-ห้องข้า”
“ถูกแล้ว มิใช่ว่าเจ้าบอกจะปกปักข้าจากภัยเองหรอกหรือ หากต้องอยู่ภายใต้การคุ้มกันของเจ้า ก็จำต้องเป็นห้องเจ้าสิ” ช็องมยองตอบกลับไปอย่างสบายๆ
“ว-ไว้ข้าค่อยคิดดูก่อนแล้วกัน…”
“เอ มีเรื่องใดต้องคิดด้วยงั้นหรือ—”
“ฝนซาแล้ว เจ้ากลับฮวาซานไปได้แล้วๆ ”
มิทันจะได้กล่าวถามอันใดต่อ แผ่นหลังของช็องมยองก็ถูกผลักออกมานอกเรือน ตามด้วยจินฮยอนซึ่งรีบสลุดอากาศตามมาพร้อมร่มทีหลัง ดวงตาคล้ายดอกเหมยได้แต่มองใบหน้าเห่อร้อนของเขาด้วยความสงสัย คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกเสียทีว่าถ้อยคำตนมีอันใดผิดปกติ จึงยอมเดินขนาบข้างกับอีกฝ่ายไปยังประตูสำนักโดยมิพูดอันใด
แต่เพราะบรรยากาศฝนพรำเช่นนี้ อดทำให้นึกถึงเรื่องวันวานไม่ได้ขึ้นมา “ในวันที่ข้าพบเจอกับเจ้าเป็นครั้งแรก ฝนก็ตกอย่างนี้แล ใช่หรือไม่”
ไม่ทราบว่าเขาจะมาทางไหนอีก จินฮยอนจึงเงียบไปพักหนึ่งก่อนตอบกลับว่า “…ถูกแล้ว”
“ข้าจำได้ว่ายามนั้นเห็นหน้าเจ้าแล้วคิดว่าเจ้าเองก็หน้าตาดีไม่เบา”
จินฮยอนสะดุดอากาศ
“แค่น่าเสียดายไปหน่อยที่เวลานั้นเจ้าค่อนข้างปากปีจอ มิฉะนั้นข้าคงมีความประทับใจที่ดีกับเจ้าไปแล้ว เหตุใดบุรุษหน้าตาดีที่ข้าพบเจอต้องมีนิสัยย่ำแย่แต่แรกทุกคนเลยหนอ”
มือที่ถือร่มอยู่ของจินฮยอนสั่นเทิ้ม
“กระทั่งการใช้ดาบของพวกเจ้ายังไม่ค่อยแกร่งเลย จนข้าคิดไปว่าสำนักมูดังนี่วันๆ เอาแต่บ้าตำราเต๋าหรือไรกัน ต้องให้เจอศัตรูที่แกร่งกว่าก่อน จึงจะพัฒนา จิจิ พวกเจ้านี่ช่าง…”
ยามนี้ทั้งตัวจินฮยอนสั่นเทาไปหมด ใบหน้าจากเดิมเริ่มเย็นลงแล้ว กลับมาขึ้นสีอีกครั้งด้วยเหตุผลที่ต่างออกไป
ณ เวลานั้นเองที่เขากำลังจะขอร้องให้หยุดพูด เท้าของช็องมยองก็ชะงักหยุดลงหน้าประตูสำนักเสียก่อน “แต่พวกเจ้าเองก็ผ่านหลายอย่างมามาก แม้ข้าจะเคยผิดหวังครั้งหนึ่งที่ศิษย์รุ่นต่อจากแทกักกอมแจไม่ได้เรื่อง ทว่าในสงคราม แค่พวกเจ้าปรากฏตัวมาร่วมด้วยด้วยศักดิ์ศรีไร้ความกลัว เท่านั้นข้าก็คงกล่าวได้ว่าพวกเจ้าเองก็เติบโตพอสมควร”
ช็องมยองหมุนเท้ามายืนประจันหน้าอีกฝ่าย ด้วยเนตรสองคู่สบกัน เขาเผยยิ้มออกมาอย่างเบาบาง “ข้าทราบดีว่าพวกเจ้าไม่ต้องการได้ยินถ้อยคำนี้จากปากคนนอกอย่างข้า แต่ข้าคงกล่าวได้ว่าข้าค่อนข้างประทับใจกับการเติบโตของพวกเจ้า”
มือเรียวเล็กเอื้อมขึ้นมาตบที่ไหล่ของจินฮยอน ช็องมยองเอ่ย “วันหลังข้าจะรอดูดาบของมูดังอีกครั้ง หากพวกเจ้ามีโอกาสได้ประมือกับศิษย์ฮวาซาน บางทีเวลานั้นอาจมิใช่แค่ข้าที่พอใจ แต่เป็นแทกักกอมแจที่ยิ้มร่าด้วย”
จินฮยอนก้มมองมือบนไหล่เขาด้วยสายตาซับซ้อน ครานั้นเองที่มือนั้นผละออกจากไหล่เขา แผ่นหลังของช็องมยองกำลังจะหันไป จินฮยอนก็ถือวิสาสะคว้าข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้ก่อน
“ด-เดี๋ยว ข้าได้ยินมาว่าเจ้าชี้แนะทางดาบให้ศิษย์จงนัมคนหนึ่งงั้นหรือ”
ช็องมยองเลิกคิ้ว “เจ้าถามถึงอิซงแบ็กหรือ ก็ถูก ข้าชี้แนะแนวทางให้บ้างในบางครั้ง”
“งั้น— งั้นหากไม่รบกวนจนเกินไป ข้าเองก็… ก็อยาก…”
หยุดมองสีหน้าของจินฮยอนอยู่สักพัก ช็องมยองจึงได้ทราบถึงจุดประสงค์ของอีกคนโดยไม่ต้องรอฟังคำพูดจนจบ เขาชักสีหน้าเล็กน้อย “ถามจริง เจ้าไม่อายหรือ เติบใหญ่ปานนี้แล้ว ยังขอคำชี้แนะจากข้าอยู่อีก มิใช่ว่าดาบมูดังของพวกเจ้ามั่นคงแล้วหรือไร ยังไม่นับว่าสำนักเจ้าเดิมทีไม่ค่อยใส่ใจเรื่องดาบอันใดนี่อีก”
“นั่นมันเรื่องเมื่อยุคของเจ้านี่ ความต้องการของพวกข้าย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลาอยู่แล้ว”
“ทว่าเจ้าเองก็โตแล้วนี่ จะขอคำชี้แนะจากข้าไปเพื่ออันใดกัน หากให้ดูศิษย์รุ่นน้องที่เข้ามาในสำนักก็ว่าไปอย่าง”
“ทีเจ้ายังชี้แนะอิซงแบ็กได้เลยเล่า ไยจะทำเช่นเดียวกับข้ามิได้บ้าง”
“หัดมียางอายเสียบ้าง ข้าดูให้เขาเพราะเขาตั้งใจอยากเปลี่ยนแปลงแนวทางของสำนักต่างหากเล่า—”
ไม่ทันพูดจนจบ ช็องมยองก็ชะงักไปเสียก่อน เนื่องเพราะหน้าของจินฮยอนในเวลานี้มิต่างอันใดจากผู้แพ้เลยแม้แต่น้อย สีหน้าเจ็บใจดั่งสาวน้อยถูกบุรุษที่ชอบปฏิเสธ เพราะชอบแม่นางน้อยอีกคนมากกว่าอย่างไรอย่างนั้น
ดวงใจของช็องมยองอ่อนยวบ เขาถอนหายใจพลางใช้มือตบอกตัวเองด้วยแรงไม่หนักไม่เบามาก ไยต้องมาพ่ายให้ความน่าเห็นใจทุกครั้งเลยหนา
เพราะเช่นนี้อย่างไรเล่า ช็องมยองถึงเกลียดเด็กและรักเด็กในเวลาเดียวกัน
ถอนหายใจอีกครั้ง ครานี้เขายื่นมือไปตบอกอีกฝ่ายแทน “ย่อมได้ๆ ข้ายอมชี้แนะดาบให้เจ้าก็ได้ในบางครั้ง”
ได้ยินดังนั้น หน้าของจินฮยอนพลันเปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นมาทันควัน ช็องมยองเห็นก็อดยกยิ้มไม่ได้ “ทว่ามีข้อแม้คือข้าจะดูให้ปีละครั้ง หรือทุกครั้งที่ข้ามาเยี่ยมเยือนแทกักกอมแจเท่านั้น”
“ได้ ได้ เท่านั้นก็พอแล้ว”
“เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นอันตกลงกันแล้ว ในเมื่อเจ้ามีเรื่องจะพูดเท่านี้ งั้นข้ากลับฮวาซานก่อนแล้วกัน”
จินฮยอนพยักหน้าน้อยๆ ตอบกลับไป เขายกมือขึ้นมาโบกลาอย่างเชื่องช้า ตามองผู้เป็นแขกที่หันหลังมายิ้มลาภายใต้ร่มกระดาษ เสื้อคลุมทมิฬอันคุ้นเคยพริ้วตามการเคลื่อนไหวของช็องมยองดั่งสายธาร— ประเดี๋ยวก่อน ร่มกระดาษหรือ เสื้อคลุมหรือ
ทันใดนั้นเองที่ดวงตาของจินฮยอนเบิกกว้าง เขาก้มลงมองความว่างเปล่าในมือ พลางมองหาเสื้อคลุมบนร่างตนเองไปด้วย ครานั้นโบกมือลาก็คิดอยู่ว่าทั้งร่างเบาหวิวอย่างน่าประหลาด รวมทั้งน้ำหนักร่มที่มือเองก็หายไปด้วย
ครั้นไร้ซึ่งร่มคอยกำบังฝน จินฮยอนก็เริ่มรู้สึกถึงน้ำหนักของหยดน้ำฝนที่ร่วงลงมาบนศีรษะมากขึ้นแล้ว ทว่าถึงกระนั้นสติของเขากลับไม่จดจ่ออยู่กับความจริงที่ว่าตนกำลังเปียกเลยแม้แต่น้อย
เขาเอาแต่เฝ้ามองรอยยิ้มบนใบหน้าของช็องมยอง
ฝ่ายหลังหันมาส่งยิ้มกว้างให้เขา ก่อนจะขยับปากกล่าวว่า
“ข้าขอเก็บค่าคำชี้แนะเป็นร่มกระดาษและเสื้อคลุมของเจ้าแล้วกัน คราวหน้าค่อยเอามาคืน”
แล้วเขาก็กระโดดวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วราวเกรงว่าหากอยู่นานกว่านี้ จินฮยอนต้องมาเดินตามร่มและเสื้อคลุมกลับคืนไปแน่
โดยหารู้ไม่ว่า บุรุษที่ตนไปขโมยเอาสิ่งของมานั้น ทำได้เพียงยืนมองค้างอยู่กับที่กลางสายฝนตกพรำเท่านั้น แม้แผ่นหลังของช็องมยองจะเลือนหายไปแล้วก็ยังมิอาจหยุดมองได้
จินฮยอนจำไม่ได้ว่าเขายืนอยู่ตรงประตูสำนักนานเท่าใด รู้สึกตัวอีกคราก็ถูกศิษย์น้องที่ผ่านมาเห็นลากกลับเข้าใต้ร่มเสียแล้ว ทั้งเนื้อทั้งตัวชุ่มฝนไปหมด เสื้อผ้าอาภรณ์เปียกหนักทั้งร่างกายไปหมด
ทว่าอย่างไรท่ามกลางเสียงถามไถ่เป็นกังวลของศิษย์น้อง และความหนาวเย็นจากน้ำฝน กายของจินฮยอนกลับถูกปกคลุมไปด้วยความอบอุ่นไม่ทราบสาเหตุ ใบหน้าเห่อร้อน ดวงใจเต้นระรัวอยู่ในอก เสียงดังจนกลัวว่าผู้อื่นจะได้ยินเข้า
ช็องมยองผู้นี้… ช่างอันตรายทั้งในศึกและนอกศึกจริงๆ
“อ๋า ผู้ใดก็ได้ตามแพทย์มาดูอาการศิษย์พี่เร็ว เขาจากฝนนานจนตัวร้อนจี๋หมดแล้ว”
——
ทางฝั่งช็องมยองยังคงถือร่มกระดาษในมือเอาไว้แน่น พลางใช้มืออีกข้างกระชับเสื้อคลุมสีทมิฬให้แนบกายยิ่งขึ้นเล็กน้อย
หากคิดตามตรง จินฮยอนแทบไม่มีเหตุผลใดที่ต้องขอคำชี้แนะจากช็องมยองเลย เว้นแต่ว่าตัวเขาต้องการศึกษาเทคนิคจากฮวาซานแล้วนำไปรับมือ ทว่าหากเป็นเช่นนั้น ก็ไม่สมเหตุสมผลอยู่ดี ยามนี้ใต้หล้าค่อนข้างสงบสุข ถ้ามูดังเลือกอยากเปิดศึกกับฮวาซานจริง ด้วยกำลังพวกเขาที่มีมากกว่า อย่างไรสำนักมูดังก็เสียเปรียบ
ฉะนั้นจึงกล่าวได้เต็มปากว่าการชี้แนะครั้งนี้ไร้ซึ่งเหตุจำเป็นโดยสิ้นเชิง ต่างจากของอิซงแบ็กที่ต้องขอให้เขาดูเรื่อยๆ เพราะต้องการปรับเปลี่ยนวิถีดาบของสำนักจงนัม
ฉะนั้นหากเหตุผลเหล่านี้ใช้หาสาเหตุที่จินฮยอนขอคำชี้แนะไม่ได้ คงมีแต่ต้องลองคิดในทางที่คาดไม่ถึงเท่านั้น
อย่างเช่น… การขอคำชี้แนะครั้งนี้ เป็นการขอเพราะแค่ฝั่งจินฮยอนอยากใช้เวลากับช็องมยองมากขึ้น
คิดได้ดังนั้น ฝีเท้าของช็องมยองก็ชะงักลง เขายกมือขึ้นมาเกาแก้มขณะเลิกคิ้วสงสัย
คิดอันใดประหลาดนัก สำนักมูดังเป็นสำนักนักพรตเคร่งเต๋าเป็นหนึ่ง นอกจากเรื่องมีความรักเป็นสิ่งที่เป็นไปได้แล้ว เรื่องที่ว่าศิษย์มูดังจะตัดแขนเสื้อยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่
ช็องมยองส่ายศีรษะเหนื่อยใจ เอาเถิด ไว้หากถึงเวลาแล้ว ค่อยถามจินฮยอนอีกทีให้แน่ชัดไปเลยแล้วกันว่าจุดประสงค์ของเขาคืออันใดกันแน่
และหากหลังจากนี้อีกหลายปี ช็องมยองถึงค่อยทราบว่าที่ตนเคยคิดนั้นเป็นความจริง นั่นก็จะเป็นเรื่องราวของอีกหลายปีให้หลัง…
(end)