Recent Search
    Create an account to secretly follow the author.
    Sign Up, Sign In

    Tsukidayoes

    ☆quiet follow Send AirSkeb request Yell with Emoji 💖 👍 🎉 😍
    POIPOI 13

    Tsukidayoes

    ☆quiet follow

    หน้าจินฮยอนปล่อยสาได้แล้ว ฟิคนี้เลยปล่อยสาตาม

    จินฮยอนช็องมยองสนองนีท- OOC OOC OOC นี่เรือผีเราเอง (อาจจะมีกอมแจช็องปนด้วยนิดหน่อย) และเราไม่เสียใจที่เขียนมัน แค่คุณกดเข้ามาดูใส่พาสเวิร์ดก็แสดงว่าคุณยอมดูแล้ว เราไม่ผิด เราไม่ผิด แต่จะเลื่อนอ่านต่อเพราะชอบก็เอ่อ… ขอบคุณนะคะที่รักกัน ถ้าคุณตัดสินใจลงเรือนี้ด้วยกันก็บอกกันผ่านโทรจิตก็ได้นะคะ เราจะดีใจมากเลย คือมันเป็นเรือผีแบบ นุเขียนอยู่คนเดียวมั้งตอนนี้
    - Canon paro มีสปอย700+
    - เป็นเหตุการณ์หลังสงครามเทพมารครั้งที่ 2 จบแล้ว


    ——


    “มิใช่ว่าเมื่อวานก็มาเยี่ยมเยือนไปแล้วรอบหนึ่งหรือ”


    “ข้ากลับมาเพราะลืมนำสุรามาไว้ให้เขา”


    “บรรพบุรุษของสำนักเราเป็นนักพรตแท้ หาได้ชื่นชอบการดื่มสุราเสียหน่อย”


    “กับบุรุษที่ต้องเดินตามหลังข้าแล้วขานเรียกข้าว่า/ฮยองนิม/ เจ้าคิดว่านิสัยเขาจะเปลี่ยนไปเพียงใดเล่าเมื่ออยู่กับข้า เคยเห็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าหรือไม่ เขามาหาข้าแล้วเมากลับไปเหมือนกันนี่แล”


    จินฮยอนก้มลงมองคนตรงหน้าด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย แต่ก็มิวายถอนหายใจแล้วยอมหลีกให้เข้าแต่โดยดี ช็องมยองเห็นดังนั้นก็เผยยิ้มออกมา ยกมือขึ้นไปตบไหล่อีกฝ่ายสักสองสามครั้ง ก่อนจะเดินผ่านประตูสำนักไปด้วยเสียงฮัมเพลงอารมณ์ดี

    ชายที่ถูกทิ้งให้ยืนอยู่ตรงประตูสำนักคนเดียวได้แต่ทอดถอนหายใจ ปกติแล้วพวกเขาไม่ควรเปิดประตูให้คนนอกเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้าเสียด้วยซ้ำ ทว่าถ้าคนผู้นั้นเป็นฮวาซานกอมฮยอบนั่นคงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    ก็คนคนนี้ นอกจากทางสำนักจะติดค้างในสิ่งที่เคยทำให้ลำบากครั้งอยู่ตรงแม่น้ำฉางเจียงแล้ว เขายังเป็นวีรบุรุษในสงครามเทพมารครั้งที่สองอีกต่างหาก ทั้งยังเผยตัวตนไม่นานมานี้ว่าเป็นแมฮวากอมจนเมื่อร้อยปีก่อนด้วย

    แม้เรื่องนี้จะฟังดูไร้สาระเพียงใด แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเขาก็ไม่คิดสงสัยถ้อยคำนี้แต่อย่างใด

    อาจเป็นเพราะ… ตัวตนของเขาค่อนข้างชัดเจนแต่แรกแล้วกระมัง

    นี่เป็นสาเหตุที่ว่าไยช็องมยองถึงปรากฎตัวหน้าประตูสำนักมูดังบ่อยครั้ง — ความจริงมาแค่หนึ่งปีครั้ง ทว่าอย่างไรก็มิทำให้ท่านเจ้าสำนักเหนื่อยใจอยู่ดี ที่ได้ยินเสียงเคาะประตูเรียกจากกอมฮยอบ — โดยมักใช้ข้ออ้างว่ามาเยี่ยมสหายเก่าที่ลาลับไปแล้ว อย่างกอมแจ

    เนื่องเพราะมูจินและจินฮยอนเป็นผู้มีประสบการณ์กับช็องมยองมากที่สุด จึงได้รับมอบหมายให้เฝ้าดูเขาระหว่างการเยี่ยมเยือน แต่พักหลังมานี้เพราะศิษย์พี่ใหญ่ยุ่งกิจสำนัก จึงมาเฝ้ามิได้แล้ว ทิ้งให้จินฮยอนจัดการเมื่อช็องมยองมาเคาะประตูสำนักเพียงผู้เดียว

    จินฮยอนนึกย้อนไปถึงเหตุผลที่ตนมาอยู่ตรงนี้แล้วได้แต่ส่ายศีรษะด้วยความระอา ไม่นานนักก็เอื้อมมือไปดึงประตูสำนักปิดดังเดิม เท้ากำลังจะก้าวเดินไปตามทางหอบรรพชน เมื่อดวงตาเลื่อนสังเกตเห็นนภาเบื้องบนเสียก่อน

    มืดครึ้มเช่นนี้ มิช้าก็เร็ว หยาดฝนต้องตกลงมาแน่

    เห็นดังนั้น จากเดิมทีจะก้าวไปยังหอบรรพชนจึงเปลี่ยนไปห้องตนเองแทน เลื่อนประตูเปิดไปหยิบร่มกระดาษพิงอยู่ตรงผนัง แล้วจึงเริ่มเดินไปยังจุดหมายปลายทางอีกครั้ง


    “ชักช้าเสียจริง ข้าจวนจะพูดคุยกับเขาเสร็จแล้วกระมังนั่น” เสียงของช็องมยองทักขึ้น ก่อนจินฮยอนจะเดินถึงหน้าประตูหอบรรพชนเสียด้วยซ้ำ ขณะมือเรียวเต็มไปด้วยแผลเป็นค่อยๆ วางสุราไว้ตรงหน้าแท่นบรรพบุรุษสลักนาม ‘แทกักกอมแจ’ อย่างระมัดระวัง


    ไม่นานนัก ช็องมยองก็หันมามองเขา “โดนท่านเจ้าสำนักดุมาเรื่องข้างั้นหรือ”


    “ท่านเจ้าสำนักยินยอมให้เจ้าเข้ามาแล้ว เขาจำเป็นต้องดุข้าเรื่องใดอีกเล่า” จินฮยอนถอนหายใจหน่ายๆ “ข้าไปเอาร่มมา เผื่อฝนตกกะทันหัน ด้วยสภาพฝนโดนไม่ได้แดดโดนไม่ดีเช่นเจ้า หากให้โดนแม้แต่หยดเดียว ข้าคงโดนทั้งชอนอูแมงสาปแช่งเป็นแน่”


    “ถึงกระนั้นข้าก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าไยจึงต้องพกมาคันเดียว”


    “หนึ่งศิษย์ควรมีสิ่งของแต่พอดี จะให้ข้าไปขอร่มศิษย์น้องมาก็กระไรอยู่ ในเมื่อข้าเองก็มีร่มของตัวเอง”


    ช็องมยองกลั้วหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าไปวุ่นกับแท่นบรรพบุรุษอีกครา “เจ้านี่ช่างเหมือนเขาเสียจริง ทำเอาข้านึกถึงแทกักกอมแจได้เสมอเลย”


    กับถ้อยคำนั้น ทำเอาจินฮยอนชะงักไปพักหนึ่ง เนตรเปี่ยมไปด้วยความลังเล ก่อนตัดสินใจไถ่ถามออกไป “เจ้ากับบรรพบุรุษข้า… มีความสัมพันธ์กันอย่างไรกันแน่”


    “ข้าว่าที่เจ้าต้องการถามอาจเป็น ‘เขาเป็นคนอย่างไรกันแน่’ เสียมากกว่า— มานั่งตรงนี้ ข้าจะเล่าให้ฟัง”


    ว่าแล้วช็องมยองก็ตบพื้นกระเบื้องข้างกายด้วยแรงไม่หนักไม่เบานัก บอกใบ้ให้จินฮยอนมานั่งลงตรงนั้น รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนใบหน้ากอมฮยอบครั้นเห็นอีกคนเดินมานั่งแต่โดยดี


    “หากเจ้ายังจดจำครั้งแรกที่เราทั้งคู่พบกันได้ ข้าอยากบอกเจ้าว่านิสัยเจ้าคล้ายเขาอยู่ไม่เบาเลย”


    จินฮยอนใช้เวลานึกครู่หนึ่ง ทว่าคิดเรื่องวันวานไปได้ไม่เท่าไร ก็เป็นต้องกระแอมไอด้วยใบหน้าขึ้นสีเลือดฝาดเสียก่อน ประสบการณ์และความประทับใจแรกที่เขามีต่อช็องมยอง และช็องมยองมีต่อเขานั้นไม่ค่อยดีเท่าไรนัก

    ก็เล่นจะไปถล่มสำนักนอกเจ้าตัวเพื่อความโลภเช่นนั้น ผู้ใดอยากนึกถึงเรื่องน่าอายปานนั้นบ้างเล่า


    ราวกับว่ารู้ใจว่าจินฮยอนอับอายเพียงใด ช็องมยองก็หัวเราะออกมาแต่ไม่คิดจี้ให้จำต่อ เขากล่าวต่อ “เขาเป็นนักพรตที่ถือวิถีนักพรตอย่างจริงจังคนแรกที่ข้าพบเจอ คราแรกที่ได้พบก็ประหลาดใจอยู่เหมือนกัน ที่มีคนคลั่งเต๋าขนาดอยากสั่งสอนให้ข้าเดินทางเต๋าจริงจังตามเขาด้วย”


    กับคำนั้น จินฮยอนเลิกคิ้วตาเบิกโพลง “บรรพบุรุษข้าทำเรื่องเช่นนั้นหรือ”


    “เจ้าไม่เชื่อล่ะสิว่าครั้งหนึ่งกอมแจสำนักเจ้าเองก็เคยสู้ข้าเพราะเรื่องเด็กเล็กมาก่อน ข้าเข้าใจเจ้า อย่างไรข้าในฐานะบรรพบุรุษของฮวาซานเองก็ไม่มีผู้ใดเชื่อเหมือนกัน”


    “นั่นก็เป็นเพราะนิสัยของเจ้าไม่เหมาะมิใช่หรือไรกัน…”


    ทำเป็นไม่ได้ยินถ้อยคำของเขา ช็องมยองยักไหล่เอ่ย “อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้บันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ของสำนักมูดัง แต่เขาพ่ายให้ข้าในเวลาต่อมา จากที่จะสั่งสอนกลับต้องมาลดตัวเรียกข้าว่าฮยองนิมแทน” จากนั้นจึงขยิบตาหยอกจินฮยอน “หาใช่ข้าที่แพ้ให้เขาอย่างที่พวกเจ้าเข้าใจหรอกหนา”


    ฝ่ายหลังอยากเถียงกลับใจจะขาด ทว่าด้วยความสามารถของช็องมยองที่พวกเขาเห็น ก็ทำเอาไม่กล้าแย้งเลยจริงๆ ว่าอาจเป็นแทกักกอมแจที่คว้าชัย แล้วแมฮวากอมจนมาโม้ว่าตนชนะก็ได้


    “รู้หรือไม่ว่านิสัยนี้ของเขาช่างคล้ายกับพวกเจ้าเสียจริง โดยเฉพาะกับเจ้าที่อาจบ้าเต๋าพอๆ กับเขา” ช็องมยองแย้ม “ข้ายังจำครานั้นที่เจ้าเกาะแขนเสื้ออาภรณ์ข้า ขอร้องวอนมิให้ข้าใส่หมัดเข้าหน้าศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าได้อยู่เลย ภาพซ้อนทับกับเขายามขอร้องมิให้ข้าซัด ชัดเจนมากในยามนั้น เจ้ารู้ตัวหรือไม่ คิกคิก”


    “……”


    แล้วภาพวันวานที่จำเป็นต้องคุกเข่าเกาะแขนเสื้อช็องมยอง ก็ล่องลอยเข้ามาในหัวของจินฮยอน

    ผู้คนต่างบอกว่าช็องมยองช่วงนี้ชอบกล่าวถึงเรื่องน่าอายในวันวาน คราแรกก็ไม่ค่อยเชื่อนักหรอกว่าอย่างเขาจะจดจำเรื่องราวการพบปะกันได้ — อย่างไรคนผู้นี้ก็ย่ำแย่เรื่องความจำมาแต่ไหนแต่ไร — พอมาเจอกับตนเองก็ทราบแล้วว่าช็องมยองเลือกจดจำแต่เรื่องที่นำกลับมาล้อได้จริงๆ


    “เอาล่ะๆ กิจข้าก็เสร็จสิ้นแล้ว คงได้เวลากลับแล้ว”


    ช็องมยองกล่าวพลางลุกขึ้นยืน เตรียมหมุนเท้าก้าวผ่านธรณีประตูออกไปกลับสำนักฮวาซาน เมื่อมีมือมารั้งข้อมือเขาเอาไว้ก่อน


    “หืม นี่เจ้า—”


    จินฮยอนตอบอย่างใจเย็น พร้อมออกแรงดึงเล็กน้อยให้อีกคนกลับเข้ามาข้างใน “ฝนกำลังตก อย่าพึ่งรีบออกไป”


    “งั้นหรือ” ช็องมยองเอียงศีรษะหันมองไปยังนอกบานประตู ภาพทิวทัศน์ตรงหน้าแลดูเหมือนไม่มีอันใดในคราแรก ทว่าไม่นานก็มีหยดน้ำร่วงลงมาต่อทอดกันเป็นสาย เห็นดังนั้นเขาก็อดเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจมิได้ “เห็นทีต้องเลื่อนเวลากลับฮวาซานแล้ว”


    จินฮยอนฟังเขาพร่ำบ่นสารทฤดูขณะมือกางร่มไปด้วย จากนั้นนำร่มมากางไว้เหนือศีรษะของพวกเขาทั้งสอง “รอฝนซาก่อนแล้วค่อยไปก็ได้ ตะวันยังไม่ลับฟ้า อย่างไรก็กลับฮวาซานทันอยู่แล้ว”


    “กลับทันแต่กลับค่ำน่ะสิ ข้าเล่าเซ็งจริงๆ หากชักช้ากว่านี้ต้องโดนดงรยงบ่นแน่นอน” ช็องมยองถอนหายใจหนัก


    “ไปรอเรือนรับรองแขกก่อนเถิด รอฝนหยุดอยู่ตรงนี้จะดูไม่ดีเอา”


    “โอ้ ใส่ใจภาพลักษณ์การรับแขกอย่างข้าด้วยหรือนี่ นึกว่ามูดังจะเบื่อหน้าข้าจนไม่อยากรักษามารยาทแล้วเสียอีก”


    “…ทางสำนักเคยทำผิดต่อเจ้าก็จริง แต่ก็หาใช่สาเหตุที่ต้องปฏิบัติกับแขกไม่ดีเสียหน่อย”


    “อ่าๆ ไม่หยอกเจ้าเล่นแล้ว นำข้าไปยังเรือนรับแขกเถิด”


    ด้วยเท้าหนึ่งก้าวเดินออกไปพร้อมร่มในมือ จินฮยอนเอียงร่มไปทางช็องมยอง เพื่อรับคนเบื้องในหอบรรพชนใต้ร่ม มิสนใจว่าสายฝนจะโปรยลงมาเปียกไหล่เท่าใด

    ช็องมยองเดินไปข้างใต้ร่มกระดาษแต่โดยดี เห็นดังนั้น จินฮยอนจึงหักร่มกลับให้บังพวกเขาทั้งสองเช่นเดิม


    “เด็กสมัยนี้ ไยชอบปฏิบัติต่อข้าเฉกเช่นผู้ป่วยนัก”


    “ไม่ว่าผู้ใดก็ทราบดีว่าเจ้าอ่อนแอหลังสงครามมาก หากข้าไม่ดูแลอย่างใกล้ชิดตามที่ท่านเจ้าสำนักบอก เกรงว่าจะเป็นการประกาศสงครามกับทั้งชอนอูแมงเอา”


    “ข้ามิเห็นทราบเลยว่าท่านเจ้าสำนักบอกให้เจ้านำสุขภาพข้ามาก่อนศิษย์ของตนด้วย” ดวงเนตรดอกเหมยปรายตามองไปยังอาภรณ์ตรงไหล่ของอีกฝ่าย ซึ่งเปียกชุ่มฝนเป็นจุดใหญ่ “เขาไม่คิดสนใจศิษย์ตัวเองแล้วงั้นหรือ”


    “……” จินฮยอนเงียบไปชั่วครู่ “เปียกเท่านี้มิทำให้ข้าป่วยหรอก แต่เจ้า โดนแค่หยดเดียวก็จับไข้แล้วกระมัง”


    ช็องมยองระเบิดหัวร่อออกมาเสียงดัง “ความคิดของพวกเจ้าแต่ละคนนี่— ขนาดแพทย์ประจำตัวอย่างศิษย์น้องหญิงข้าคงต้องยกนิ้วให้เลยกระมัง คิดอันใดประหลาดกันนัก แก่นปราณข้าแม้จะเสียหายไปมาก ทว่าข้าก็ไม่ได้อ่อนแอเทียบเท่าสามัญชนทั่วไปเสียหน่อย”


    ท่ามกลางสายฝนตกพรำ พวกเขาทั้งสองเดินฝ่าไปด้วยกันพร้อมร่มหนึ่งคันในมือของจินฮยอน หลังช็องมยองกล่าวจบ ก็ไม่มีผู้ใดพูดต่อหลังจากนั้นอีก

    ครั้นถึงเรือนรับแขก ช็องมยองก็ถูกทิ้งให้นั่งอยู่คนเดียว ส่วนตัวผู้เดินทางร่วมมาด้วยกันก่อนหน้านี้ จะไปเตรียมชามาให้ดื่มอุ่นร่างกาย ซึ่งผู้เป็นแขกครั้นได้ยินเช่นนั้นก็ยอมนั่งรอแต่โดยดี ถึงอยากนอนบนพื้นเรือนรอเพราะเบื่อหน่ายก็ตาม

    ไม่นานนัก จินฮยอนก็กลับเข้ามาในเรือนรับรองแขกพร้อมถาดน้ำชาในมือ เขานั่งลงนำถ้วยชามาวางตรงหน้าช็องมยอง จากนั้นจึงหยิบกาน้ำชามารินให้ตามอย่างบรรจง ฝั่งผู้เป็นแขกเท้าคางเฝ้ามองท่าทีนั้นพลางยกยิ้มไปด้วย


    สังเกตเห็นรอยยิ้มนั้น ด้วยความสงสัย จินฮยอนเลยถามออกไป “มีเรื่องใดน่ายินดีงั้นหรือ”


    “ไม่มีอันใด แค่รู้สึกว่าสำนักมูดังของพวกเจ้านี่ช่างนักพรตเสียเหลือเกิน กระทั่งคำพูดยันการกระทำก็ยังนักพรตอยู่ แม้ครั้งแรกที่พบเจอพวกเจ้าจะหักเหจากวิถีนักพรตไปมากก็ตาม” ช็องมยองส่ายศีรษะน้อยๆ “พักหลังมานี้ สงครามจบลง ก็กลับไปอ่านแต่ตำราเต๋าเช่นเดิมแล้วงั้นหรือ”


    “พ-พวกข้าถูกสอนให้ปฏิบัติเช่นนี้มาแต่แรกแล้ว กิริยานี้ควรเป็นสิ่งแรกที่พวกเจ้าได้เห็นด้วยซ้ำ ทว่ายามนั้นแค่ยังไม่แสดงออกชัดเจนเท่านั้นเอง…”


    “เอาเถิดๆ ข้าเข้าใจดี มีข้าและศิษย์พี่คอยกวนประสาทพวกเจ้าเช่นนั้น อย่างไรก็ไม่มีทางรักษาท่าทีได้ดังเดิมอยู่แล้ว”


    กล่าวแล้ว ช็องมยองก็หันสายตามองไปยังนอกประตูเรือนรับรองแขกซึ่งเปิดออกกว้างเอาไว้ ให้เห็นบรรยากาศภายนอกว่าเป็นเช่นไรบ้าง หยดสายฝนยังคงร่วงหล่นลงมาไม่มียั้ง คลับคล้ายว่าฟ้าฝนพิโรธใส่ผู้ใดมาอย่างไรอย่างนั้น

    เสียงฝนกระทบหลังคาค่อยๆ ดังขึ้นและชะงักช้าลงไปในบางช่วง หากเป็นเช่นนี้คาดว่าไม่นานฝนคงหยุด หรือไม่ก็อาจแปรเปลี่ยนเป็นตกแค่พรำๆ เหมือนก่อนหน้านี้แทน ไม่หนักมากไม่เบามาก แต่พอสะดวกในการเดินทางได้อยู่


    “ข้าไม่ได้บอกผู้ใดว่าจะมาสำนักมูดังวันนี้” อยู่ๆ ช็องมยองก็เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ถ้อยคำนั้นดึงความสนใจจากจินฮยอนไปได้เกือบจะทันที “ฉะนั้นเรื่องที่เกิดในวันนี้ จะไม่มีผู้ใดทราบนอกจากข้า เจ้า และสำนักมูดัง”


    “…พูดจริงหรือ”


    “แน่นอน หากเจ้าเตรียมกำลังคนมาซัดข้าในวันนี้ กว่าพวกเขาจะทราบก็คงเป็นสามวันหลังนู่น ทว่าอย่างไรก็ตาม เพราะข้ามิได้บอกผู้ใดนี่แล ข้าจึงต้องรีบกลับ ทว่าฝนแลดูจะไม่ค่อยเป็นใจเท่าไรนัก จะให้ข้าฝ่าฝนในสภาพนี้กลับไป ก็เกรงว่าจะโดนพวกเขาดุเอา”


    จินฮยอนมองตามเนตรดอกเหมยไปทางนอกบานประตูของเรือน เฝ้ามองหยาดฝนร่วงลงมาสักครู่ ก่อนเอ่ยว่า “ไม่นานเดี๋ยวฝนคงซาลงแล้ว”


    “แค่ซาลงงั้นหรือ”


    “อืม ข้าคิดว่าอย่างนั้น”


    “อีกนานเท่าใดถึงจะหยุดตกเล่า”


    “อาจอีกสักชั่วยามหนึ่ง ทว่าไม่นานคงตกลงมาใหม่ อย่างไรก็สารทฤดู ครั้นตกลงมาแล้วก็ไม่หยุดลงง่ายๆ”


    “สงสัยเป็นความผิดข้าเองที่แอบออกมาสำนักมูดังในวันนี้” ช็องมยองถอนหายใจ “ข้ารอถึงปานนั้นมิได้หรอก จำเป็นต้องกลับตอนฝนซานี่แล”


    มุมปากของจินฮยอนโค้งลงเล็กน้อย “หากเป็นเช่นนั้น ชอนอูแมงจะไม่ว่าพวกข้าเอาหรือ พักอยู่ที่นี่สักคืนเป็นอย่างไร”


    “ไม่ได้ไม่ได้ หากข้าอยู่นี่ วันดีคืนดีประเดี๋ยวก็โดนสังหารยามหลับหรอก”


    “มีข้าอยู่นี่ ผู้ใดกล้าต้องเจ้าด้วยหรือ”


    “เด็กคนนี้เลือกใช้อำนาจเข้าสู้หรือนี่ เป็นแค่ศิษย์พี่ใหญ่คนหนึ่งของพวกเขาก็เปรี้ยวถึงเพียงนี้เชียว”


    เสียงเกือบพ่นชาออกปากของจินฮยอน ทำเอาช็องมยองหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขายื่นกายเข้าไปใกล้แล้วใช้มือตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ พึมพำกล่าวปลอบว่าหยอกเล่นซ้ำไปซ้ำมา จนสีหน้าฝั่งศิษย์สำนักมูดังดีขึ้น


    “แต่ข้าพูดจริง ข้าอยู่ที่นี่มิได้ อย่างไรก็ไม่ได้บอกพวกเขาเอาไว้ว่าจะไปที่ใดวันนี้ หากมิกลับไปวันนี้ มีหวังสำนักเจ้านี่แลจะเดือดร้อนกว่าเก่า”


    “…เข้าใจแล้ว ข้าก็ไม่ได้หวังให้อยู่ขนาดนั้นเสียหน่อย”


    “หืม บางทีหากวันหลังข้าขอแล้ว อาจค้างคืนที่นี่จริงก็ได้หนา ยามนั้นเจ้าก็เอาห้องเจ้าให้ข้าอยู่ด้วยเล่า”


    เห็นจินฮยอนเกือบพ่นชาออกมาอีกครั้ง ช็องมยองก็เริ่มสงสารอีกคนขึ้นมาบ้างแล้ว อันใดมันจะขนาดนั้นเล่า หนุ่มเอ้ย


    จินฮยอนถามตะกุกตะกัก “ห-ห-ห-ห้องข้า”


    “ถูกแล้ว มิใช่ว่าเจ้าบอกจะปกปักข้าจากภัยเองหรอกหรือ หากต้องอยู่ภายใต้การคุ้มกันของเจ้า ก็จำต้องเป็นห้องเจ้าสิ” ช็องมยองตอบกลับไปอย่างสบายๆ


    “ว-ไว้ข้าค่อยคิดดูก่อนแล้วกัน…”


    “เอ มีเรื่องใดต้องคิดด้วยงั้นหรือ—”


    “ฝนซาแล้ว เจ้ากลับฮวาซานไปได้แล้วๆ ”


    มิทันจะได้กล่าวถามอันใดต่อ แผ่นหลังของช็องมยองก็ถูกผลักออกมานอกเรือน ตามด้วยจินฮยอนซึ่งรีบสลุดอากาศตามมาพร้อมร่มทีหลัง ดวงตาคล้ายดอกเหมยได้แต่มองใบหน้าเห่อร้อนของเขาด้วยความสงสัย คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกเสียทีว่าถ้อยคำตนมีอันใดผิดปกติ จึงยอมเดินขนาบข้างกับอีกฝ่ายไปยังประตูสำนักโดยมิพูดอันใด


    แต่เพราะบรรยากาศฝนพรำเช่นนี้ อดทำให้นึกถึงเรื่องวันวานไม่ได้ขึ้นมา “ในวันที่ข้าพบเจอกับเจ้าเป็นครั้งแรก ฝนก็ตกอย่างนี้แล ใช่หรือไม่”


    ไม่ทราบว่าเขาจะมาทางไหนอีก จินฮยอนจึงเงียบไปพักหนึ่งก่อนตอบกลับว่า “…ถูกแล้ว”


    “ข้าจำได้ว่ายามนั้นเห็นหน้าเจ้าแล้วคิดว่าเจ้าเองก็หน้าตาดีไม่เบา”


    จินฮยอนสะดุดอากาศ


    “แค่น่าเสียดายไปหน่อยที่เวลานั้นเจ้าค่อนข้างปากปีจอ มิฉะนั้นข้าคงมีความประทับใจที่ดีกับเจ้าไปแล้ว เหตุใดบุรุษหน้าตาดีที่ข้าพบเจอต้องมีนิสัยย่ำแย่แต่แรกทุกคนเลยหนอ”


    มือที่ถือร่มอยู่ของจินฮยอนสั่นเทิ้ม


    “กระทั่งการใช้ดาบของพวกเจ้ายังไม่ค่อยแกร่งเลย จนข้าคิดไปว่าสำนักมูดังนี่วันๆ เอาแต่บ้าตำราเต๋าหรือไรกัน ต้องให้เจอศัตรูที่แกร่งกว่าก่อน จึงจะพัฒนา จิจิ พวกเจ้านี่ช่าง…”


    ยามนี้ทั้งตัวจินฮยอนสั่นเทาไปหมด ใบหน้าจากเดิมเริ่มเย็นลงแล้ว กลับมาขึ้นสีอีกครั้งด้วยเหตุผลที่ต่างออกไป


    ณ เวลานั้นเองที่เขากำลังจะขอร้องให้หยุดพูด เท้าของช็องมยองก็ชะงักหยุดลงหน้าประตูสำนักเสียก่อน “แต่พวกเจ้าเองก็ผ่านหลายอย่างมามาก แม้ข้าจะเคยผิดหวังครั้งหนึ่งที่ศิษย์รุ่นต่อจากแทกักกอมแจไม่ได้เรื่อง ทว่าในสงคราม แค่พวกเจ้าปรากฏตัวมาร่วมด้วยด้วยศักดิ์ศรีไร้ความกลัว เท่านั้นข้าก็คงกล่าวได้ว่าพวกเจ้าเองก็เติบโตพอสมควร”


    ช็องมยองหมุนเท้ามายืนประจันหน้าอีกฝ่าย ด้วยเนตรสองคู่สบกัน เขาเผยยิ้มออกมาอย่างเบาบาง “ข้าทราบดีว่าพวกเจ้าไม่ต้องการได้ยินถ้อยคำนี้จากปากคนนอกอย่างข้า แต่ข้าคงกล่าวได้ว่าข้าค่อนข้างประทับใจกับการเติบโตของพวกเจ้า”


    มือเรียวเล็กเอื้อมขึ้นมาตบที่ไหล่ของจินฮยอน ช็องมยองเอ่ย “วันหลังข้าจะรอดูดาบของมูดังอีกครั้ง หากพวกเจ้ามีโอกาสได้ประมือกับศิษย์ฮวาซาน บางทีเวลานั้นอาจมิใช่แค่ข้าที่พอใจ แต่เป็นแทกักกอมแจที่ยิ้มร่าด้วย”


    จินฮยอนก้มมองมือบนไหล่เขาด้วยสายตาซับซ้อน ครานั้นเองที่มือนั้นผละออกจากไหล่เขา แผ่นหลังของช็องมยองกำลังจะหันไป จินฮยอนก็ถือวิสาสะคว้าข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้ก่อน


    “ด-เดี๋ยว ข้าได้ยินมาว่าเจ้าชี้แนะทางดาบให้ศิษย์จงนัมคนหนึ่งงั้นหรือ”


    ช็องมยองเลิกคิ้ว “เจ้าถามถึงอิซงแบ็กหรือ ก็ถูก ข้าชี้แนะแนวทางให้บ้างในบางครั้ง”


    “งั้น— งั้นหากไม่รบกวนจนเกินไป ข้าเองก็… ก็อยาก…”


    หยุดมองสีหน้าของจินฮยอนอยู่สักพัก ช็องมยองจึงได้ทราบถึงจุดประสงค์ของอีกคนโดยไม่ต้องรอฟังคำพูดจนจบ เขาชักสีหน้าเล็กน้อย “ถามจริง เจ้าไม่อายหรือ เติบใหญ่ปานนี้แล้ว ยังขอคำชี้แนะจากข้าอยู่อีก มิใช่ว่าดาบมูดังของพวกเจ้ามั่นคงแล้วหรือไร ยังไม่นับว่าสำนักเจ้าเดิมทีไม่ค่อยใส่ใจเรื่องดาบอันใดนี่อีก”


    “นั่นมันเรื่องเมื่อยุคของเจ้านี่ ความต้องการของพวกข้าย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลาอยู่แล้ว”


    “ทว่าเจ้าเองก็โตแล้วนี่ จะขอคำชี้แนะจากข้าไปเพื่ออันใดกัน หากให้ดูศิษย์รุ่นน้องที่เข้ามาในสำนักก็ว่าไปอย่าง”


    “ทีเจ้ายังชี้แนะอิซงแบ็กได้เลยเล่า ไยจะทำเช่นเดียวกับข้ามิได้บ้าง”


    “หัดมียางอายเสียบ้าง ข้าดูให้เขาเพราะเขาตั้งใจอยากเปลี่ยนแปลงแนวทางของสำนักต่างหากเล่า—”


    ไม่ทันพูดจนจบ ช็องมยองก็ชะงักไปเสียก่อน เนื่องเพราะหน้าของจินฮยอนในเวลานี้มิต่างอันใดจากผู้แพ้เลยแม้แต่น้อย สีหน้าเจ็บใจดั่งสาวน้อยถูกบุรุษที่ชอบปฏิเสธ เพราะชอบแม่นางน้อยอีกคนมากกว่าอย่างไรอย่างนั้น

    ดวงใจของช็องมยองอ่อนยวบ เขาถอนหายใจพลางใช้มือตบอกตัวเองด้วยแรงไม่หนักไม่เบามาก ไยต้องมาพ่ายให้ความน่าเห็นใจทุกครั้งเลยหนา

    เพราะเช่นนี้อย่างไรเล่า ช็องมยองถึงเกลียดเด็กและรักเด็กในเวลาเดียวกัน


    ถอนหายใจอีกครั้ง ครานี้เขายื่นมือไปตบอกอีกฝ่ายแทน “ย่อมได้ๆ ข้ายอมชี้แนะดาบให้เจ้าก็ได้ในบางครั้ง”


    ได้ยินดังนั้น หน้าของจินฮยอนพลันเปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นมาทันควัน ช็องมยองเห็นก็อดยกยิ้มไม่ได้ “ทว่ามีข้อแม้คือข้าจะดูให้ปีละครั้ง หรือทุกครั้งที่ข้ามาเยี่ยมเยือนแทกักกอมแจเท่านั้น”


    “ได้ ได้ เท่านั้นก็พอแล้ว”


    “เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นอันตกลงกันแล้ว ในเมื่อเจ้ามีเรื่องจะพูดเท่านี้ งั้นข้ากลับฮวาซานก่อนแล้วกัน”


    จินฮยอนพยักหน้าน้อยๆ ตอบกลับไป เขายกมือขึ้นมาโบกลาอย่างเชื่องช้า ตามองผู้เป็นแขกที่หันหลังมายิ้มลาภายใต้ร่มกระดาษ เสื้อคลุมทมิฬอันคุ้นเคยพริ้วตามการเคลื่อนไหวของช็องมยองดั่งสายธาร— ประเดี๋ยวก่อน ร่มกระดาษหรือ เสื้อคลุมหรือ

    ทันใดนั้นเองที่ดวงตาของจินฮยอนเบิกกว้าง เขาก้มลงมองความว่างเปล่าในมือ พลางมองหาเสื้อคลุมบนร่างตนเองไปด้วย ครานั้นโบกมือลาก็คิดอยู่ว่าทั้งร่างเบาหวิวอย่างน่าประหลาด รวมทั้งน้ำหนักร่มที่มือเองก็หายไปด้วย

    ครั้นไร้ซึ่งร่มคอยกำบังฝน จินฮยอนก็เริ่มรู้สึกถึงน้ำหนักของหยดน้ำฝนที่ร่วงลงมาบนศีรษะมากขึ้นแล้ว ทว่าถึงกระนั้นสติของเขากลับไม่จดจ่ออยู่กับความจริงที่ว่าตนกำลังเปียกเลยแม้แต่น้อย

    เขาเอาแต่เฝ้ามองรอยยิ้มบนใบหน้าของช็องมยอง

    ฝ่ายหลังหันมาส่งยิ้มกว้างให้เขา ก่อนจะขยับปากกล่าวว่า


    “ข้าขอเก็บค่าคำชี้แนะเป็นร่มกระดาษและเสื้อคลุมของเจ้าแล้วกัน คราวหน้าค่อยเอามาคืน”


    แล้วเขาก็กระโดดวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วราวเกรงว่าหากอยู่นานกว่านี้ จินฮยอนต้องมาเดินตามร่มและเสื้อคลุมกลับคืนไปแน่

    โดยหารู้ไม่ว่า บุรุษที่ตนไปขโมยเอาสิ่งของมานั้น ทำได้เพียงยืนมองค้างอยู่กับที่กลางสายฝนตกพรำเท่านั้น แม้แผ่นหลังของช็องมยองจะเลือนหายไปแล้วก็ยังมิอาจหยุดมองได้

    จินฮยอนจำไม่ได้ว่าเขายืนอยู่ตรงประตูสำนักนานเท่าใด รู้สึกตัวอีกคราก็ถูกศิษย์น้องที่ผ่านมาเห็นลากกลับเข้าใต้ร่มเสียแล้ว ทั้งเนื้อทั้งตัวชุ่มฝนไปหมด เสื้อผ้าอาภรณ์เปียกหนักทั้งร่างกายไปหมด

    ทว่าอย่างไรท่ามกลางเสียงถามไถ่เป็นกังวลของศิษย์น้อง และความหนาวเย็นจากน้ำฝน กายของจินฮยอนกลับถูกปกคลุมไปด้วยความอบอุ่นไม่ทราบสาเหตุ ใบหน้าเห่อร้อน ดวงใจเต้นระรัวอยู่ในอก เสียงดังจนกลัวว่าผู้อื่นจะได้ยินเข้า

    ช็องมยองผู้นี้… ช่างอันตรายทั้งในศึกและนอกศึกจริงๆ


    “อ๋า ผู้ใดก็ได้ตามแพทย์มาดูอาการศิษย์พี่เร็ว เขาจากฝนนานจนตัวร้อนจี๋หมดแล้ว”


    ——


    ทางฝั่งช็องมยองยังคงถือร่มกระดาษในมือเอาไว้แน่น พลางใช้มืออีกข้างกระชับเสื้อคลุมสีทมิฬให้แนบกายยิ่งขึ้นเล็กน้อย

    หากคิดตามตรง จินฮยอนแทบไม่มีเหตุผลใดที่ต้องขอคำชี้แนะจากช็องมยองเลย เว้นแต่ว่าตัวเขาต้องการศึกษาเทคนิคจากฮวาซานแล้วนำไปรับมือ ทว่าหากเป็นเช่นนั้น ก็ไม่สมเหตุสมผลอยู่ดี ยามนี้ใต้หล้าค่อนข้างสงบสุข ถ้ามูดังเลือกอยากเปิดศึกกับฮวาซานจริง ด้วยกำลังพวกเขาที่มีมากกว่า อย่างไรสำนักมูดังก็เสียเปรียบ

    ฉะนั้นจึงกล่าวได้เต็มปากว่าการชี้แนะครั้งนี้ไร้ซึ่งเหตุจำเป็นโดยสิ้นเชิง ต่างจากของอิซงแบ็กที่ต้องขอให้เขาดูเรื่อยๆ เพราะต้องการปรับเปลี่ยนวิถีดาบของสำนักจงนัม

    ฉะนั้นหากเหตุผลเหล่านี้ใช้หาสาเหตุที่จินฮยอนขอคำชี้แนะไม่ได้ คงมีแต่ต้องลองคิดในทางที่คาดไม่ถึงเท่านั้น

    อย่างเช่น… การขอคำชี้แนะครั้งนี้ เป็นการขอเพราะแค่ฝั่งจินฮยอนอยากใช้เวลากับช็องมยองมากขึ้น

    คิดได้ดังนั้น ฝีเท้าของช็องมยองก็ชะงักลง เขายกมือขึ้นมาเกาแก้มขณะเลิกคิ้วสงสัย

    คิดอันใดประหลาดนัก สำนักมูดังเป็นสำนักนักพรตเคร่งเต๋าเป็นหนึ่ง นอกจากเรื่องมีความรักเป็นสิ่งที่เป็นไปได้แล้ว เรื่องที่ว่าศิษย์มูดังจะตัดแขนเสื้อยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่

    ช็องมยองส่ายศีรษะเหนื่อยใจ เอาเถิด ไว้หากถึงเวลาแล้ว ค่อยถามจินฮยอนอีกทีให้แน่ชัดไปเลยแล้วกันว่าจุดประสงค์ของเขาคืออันใดกันแน่

    และหากหลังจากนี้อีกหลายปี ช็องมยองถึงค่อยทราบว่าที่ตนเคยคิดนั้นเป็นความจริง นั่นก็จะเป็นเรื่องราวของอีกหลายปีให้หลัง…


    (end)
    Tap to full screen .Repost is prohibited
    Let's send reactions!
    Replies from the creator

    recommended works