แพกช็อง 堕 ครึ่งแรกชาติแรก
—— ☆*:.。. o(≧▽≦)o .。.:*☆ ——
กลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้งไปทั่วโพรงจมูกของช็องมยอง ดวงตาคล้ายดอกเหมยบัดนี้หรี่ลงกวาดสายตามองรอบกายของตนเองอย่างเชื่องช้า มือเต็มไปด้วยบาดแผลลึกเห็นกระดูกกำด้ามจับของดาบแน่นขึ้นเล็กน้อยก่อนจะค่อยผ่อนแรงลงเพราะความเจ็บที่มือ ขาทั้งสองข้างสั่นแทบเดินไม่ไหว หากไม่ใช่เพราะมีดาบฝังลึกลงไปในดินคอยรับน้ำหนักร่างกายของเขาเอาไว้อยู่ ช็องมยองคงนอนลงไปกองกับพื้นพร้อมกับศพของเหล่าเซียนซึ่งพยายามเข้าหาตัวเทพมารก่อนหน้านี้ไปแล้ว
เลือดที่ไหลลงจากศีรษะสู่ใบหน้าทำให้สายตาของเขาพร่ามัวมองมิเห็นทางข้างหน้า ช็องมยองเอื้อมมือขึ้นมาเช็ดคราบเลือดนั้นออกไปแล้วจึงกะพริบตามองรอบข้างอีกครั้งหนึ่ง หวังจักเห็นสหายร่วมรบในสงครามยังคงแกว่งดาบแกว่งอาวุธในสนามรบด้วยสภาพร่างกายที่ดีกว่าตนเป็นเท่าตัวอยู่
ทว่าพอมองออกไปสิ่งเดียวที่ช็องมยองมองเห็นมีเพียงแค่ภาพสีแดงฉานและร่างของคนรู้จักนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นเท่านั้น
อ่า… ลืมไปว่าเจ้าเด็กพวกนี้ช่วยเปิดทางให้เขาเข้าไปหาเทพมารได้ง่ายขึ้นนี่ จักหมดแรงเอาทีหลังก็หาใช่เรื่องแปลกอันใดนัก มารที่ได้พบเจอแต่ละตนหาได้เอาชนะได้ง่ายไม่
ช็องมยองหลุบตาลงต่ำมองมายังพื้นดินที่ตนเองกำลังยืนอยู่ ผืนหญ้าเคยแต้มไปด้วยสีเขียวขจีในบัดนี้เองก็เต็มไปด้วยสีแดงฉานของเลือดเช่นกัน เมื่อมองขึ้นไปยังท้องนภาสีครามสวยที่เขาชอบมองยามดื่มสุราบ่อยครั้ง ก็เห็นแต่เมฆฝนเปรอะเปื้อนด้วยสีของเลือดอยู่บนนั้น ไม่เหลือร่องรอยของภาพทิวทัศน์ที่เคยเฝ้ามองหาแม้แต่น้อย ราวกับว่านภาอันแสนงดงามที่ช็องมยองเห็นมาทั้งชีวิตนั้นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
ดาบปลายหักในมือสั่นไหว พักหนึ่งก็รับน้ำหนักของช็องมยองไม่ไหวอีกต่อไป เขาเซคุกเข่าข้างหนึ่งล้มลงไปกับพื้น แขนไร้เรี่ยวแรงพยายามยันร่างกายอันหนักอึ้ง ให้ลุกขึ้นมายืดหยัดในสนามรบเปี่ยมไปด้วยเสียงลมแห่งความสิ้นหวังอีกครั้งหนึ่ง ดวงตาสบเข้ากับปลายดาบที่หักไปเพราะรับแรงโจมตีจากเทพมารเมื่อครู่ ในเงาสะท้อนของมัน เขาเห็นใบหน้าบิดเบี้ยวของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังจ้องมองกลับมา
ชายผู้นี้มีเลือดเปรอะอยู่เต็มใบหน้า ผมเผ้าปรกหน้าปรกตา ถึงจักพยายามมองเท่าใดก็มองไม่ออกเสียทีว่ากำลังรู้สึกหรือทำสีหน้าอย่างไรอยู่ อาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์พาดลายสีดอกเหมยอ่อนถูกย้อมให้กลายเป็นสีเลือด ไม่มีที่ใดบนอาภรณ์ที่บ่งบอกว่ามันเคยมีสีขาวแม้แต่น้อย เลื่อนสายตาไปมองอีกหน่อยก็จักเห็นรอยขาดของอาภรณ์ตรงบริเวณไหล่ข้างซ้าย ตรงที่แขนของเขาควรอยู่กลับกลวงโบ๋ไร้อวัยวะส่วนที่กล่าวถึง
โดยไม่รู้ตัว ช็องมยองกุมไหล่ข้างซ้ายของตนเองแน่นทันทีที่ได้เห็นภาพนั้น สัมผัสในมือหาใช่ชิ้นผ้านุ่มอย่างที่คิดไว้ไม่แต่เป็นสัมผัสของแขนข้างซ้ายซึ่งยังคงเชื่อมติดกับลำตัวอยู่นั่นเอง
ดวงตาคล้ายดอกเหมยสั่นไหว มือค่อยๆ คลายออกจากแขนข้างนั้นทีละเล็กทีละน้อย เมื่อก้มหน้ามองดูอีกคราก็พบว่าภาพสะท้อนในดาบมิใช่บุรุษสวมอาภรณ์สีขาวอีกต่อไป ทว่าเป็นช็องมยองที่สวมอาภรณ์สีทมิฬอยู่ในเงาสะท้อนนั้นแทน
เวลานั้นเองที่ช็องมยองคิดได้ว่าตัวเขามิใช่เซียนดาบดอกเหมยในอดีตอีกต่อไปแล้ว
เขาจักไม่เหยียบความผิดพลาดของตนเองซ้ำอีกรอบเป็นอันขาด เขาต้องก้าวผ่านความผิดพลาดนั้นไปให้ได้ โอกาสครั้งที่สอง ในเมื่อได้มาแล้วก็ต้องใช้มันให้คุ้มค่าที่สุดจนกว่าจักถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต จนกว่าร่างกายจักฝืนขยับไม่ได้อีก
‘ข้ามิใช่เขา’
ช็องมยองจับด้ามดาบแน่นพลางใช้แรงทั้งหมดพยุงตัวขึ้นมา แม้จักรู้สึกเจ็บเจียนตายอย่างไรก็ห้ามล้มลงไปอีกครั้งเด็ดขาด หากล้มครานี้จักมิมีวันลุกขึ้นมาได้อีกแล้ว
‘ข้ามิใช่เขา… มิใช่เซียนดาบดอกเหมยผู้แกร่งกล้า ที่กระทั่งสิ่งสำคัญยังปกป้องไว้ไม่ได้’
สายตาทอดมองออกไปยังสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ที่ยืนอยู่ท่ามกลางกองศพของเซียนมากหน้าหลายตา ดวงตาสีแดงฉานคดเคี้ยวเป็นลวดลายนั้นทำเอาช็องมยองแทบอาเจียนออกมาด้วยความคลื่นไส้ ทว่าเขาก็กลืนความรู้สึกนั้นลงไปแล้วออกเท้าก้าวเดินไปต่อ
แม้ก้าวที่ใช้เดินจักสั่นเท่าไร แม้ดวงใจจักเต้นระรัวเพราะความหวาดกลัวแค่ไหน ก็จงก้าวต่อไปพร้อมดาบในมือของเจ้าเสีย
ช็องมยองหันกลับไปมองศิษย์ร่วมสำนักฮวาซานรวมทั้งสหายซึ่งใช้เวลาทั้งชีวิตผูกมิตรด้วยพักหนึ่ง พวกเขาทุกคนล้วนต่างใช้ชีวิตของตนเองเดิมพันกับศึกครั้งนี้กันทั้งหมด ถึงจักมิรู้ว่าผลลัพธ์ในตอนสุดท้ายจักออกมาเป็นเช่นไรทว่าก็ยังนำเอาชีวิตเข้าแลกอย่างไม่คิดลังเล
เพราะตรงหน้า— มีช็องมยองยืนอยู่อย่างไรเล่า
ในท้ายที่สุดก่อนช็องมยองจักหันหลังไปไม่มองกลับมาตลอดกาล เขาเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าพวกโง่ อุส่าเดินมาพร้อมกับข้าได้จนถึงเวลานี้แล้วแท้ๆ ข้าฝึกให้มิหนักพอหรอไรจึงได้ล้มลงไปก่อนเช่นนี้”
‘ข้ามิใช่เขา… มิใช่คนผู้นั้นที่มีบทบาทแค่ในตอนสุดท้าย แล้วเดินลงนรกจากไป’
เทพมารกำลังจ้องมองมายังเขาอยู่
ในชีวิตก่อนครั้นเมื่อยังเป็นเซียนดาบดอกเหมยอยู่ ถึงช็องมยองจักตะโกนให้สิ่งมีชีวิตประหลาดนี้หันมามองเขาเท่าไร อีกฝ่ายก็มิเคยเหลียวแลเลยแม้แต่ครั้งเดียว
จักเรียกดูถูกก็ไม่ได้ จักเรียกประมาทก็ไม่เชิง ในเมื่อตอนจบของเรื่องราวในสงครามครั้งแรกคือตัวเซียนดาบดอกเหมยเองที่เป็นฝ่ายล้มลงไปก่อนพร้อมกับธงแห่งความพ่ายแพ้ เรื่องราวนี้ถูกจารึกว่าเทพมารถูกตัดศีรษะก่อนเขาจักเสียชีวิตตามก็จริง ทว่าหากไม่มีเซียนคนอื่นคอยชักดาบฟันทางเปิดออกให้ ช็องมยองเองก็มิต่างอันใดจากผู้แพ้นักหรอก
แต่ละก้าวที่ใช้เดินค่อยๆ เข้าใกล้เทพมารขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาสีแดงฉานสบเข้ากับดวงตาคล้ายดอกเหมย ดาบทมิฬปลายหักหยดเลือดตามทางเดินอย่างไม่ขาดสาย รวมเข้ากับเลือดที่ไม่ยอมหยุดไหลออกจากบาดแผลลึกบนร่างกายของช็องมยอง ดูจากตรงนี้เหมือนมีทะเเลือดเดินตามหลังของเขามิมีผิด
ช็องมยองสูดลมหายใจเข้าลึกพลางผ่อนลมหายใจออกช้า นึกถึงเหล่าสหายนึกถึงเหล่าศิษย์ฮวาซานที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันตลอดหลายปีที่ผ่านมา นึกถึงเวลานั้นที่พวกเขาจับมือช็องมยองและตั้งมั่นว่าจักฝ่าศึกครั้งสุดท้ายนี้ไปด้วยกัน
น้ำเปล่าถูกรินใส่จอกแทนสุราซึ่งเป็นของขาดแคลนในช่วงสงคราม พวกเขาทุกคนต่างพากันยกจอกขึ้นเป็นคำสาบานว่าจักมีชีวิตรอดมาดื่มสุราฉลองหลังสงครามจบให้จงได้ ช็องมยองในเวลานั้นแม้จักเอ่ยปากบ่นว่าน้ำใช้แทนสุราแทนพิธีศักดิ์สิทธิ์มิได้ แต่ถึงอย่างไรเขาเองก็ยกจอกขึ้นสาบานเช่นกัน
ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าชะตาของตนเองและของคนอื่นนั้นต่างกันอย่างมหันต์
“ขอบคุณ—” ก้าวสุดท้ายสู่ขั้นบันไดปีนขึ้นไปหาเทพมาร ช็องมยองได้หลับตาลงพร้อมกำดาบในมือให้แน่นจนด้ามดาบกดลึกเข้าไปในแผลบนฝ่ามือของเขา “—สำหรับโอกาสครั้งที่สอง”
‘ข้ามิใช่อดีตอันล้มเหลวอีกต่อไป’
“แม้จักมิได้เดินไปด้วยกันจนถึงปลายทาง ทว่าทุกอย่างที่พวกเจ้าให้ข้ามาช่างล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใดบนโลกเสียอีก ความสุขที่ข้าได้รับอย่างไรก็มิมีวันลืมได้อย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้น…”
‘ข้าคือช็องมยอง ช็องมยองแห่งฮวาซาน’
“ข้า— ช็องมยองแห่งฮวาซาน”
‘จงจดจำนามนี้ไว้เสีย’
“จงลืมนามนี้ไปเสีย คิดเสียว่าเดิมทีข้าไม่ควรมีตัวตนอยู่ที่นี่แต่แรกแล้ว คิดเสียว่าการลงดาบครั้งสุดท้ายนี้คือการตอบแทนทุกอย่างที่พวกเจ้าให้ข้ามาก็แล้วกัน”
พุ่มดอกเหมยผลิบานอย่างสวยงามท่ามกลางผืนหญ้าและนภาสีเลือด ป่าวประกาศเป็นสัญญาณให้ผู้คนที่เฝ้ามองจากที่ห่างไกลได้รับรู้ถึงจุดจบของสงคราม หลังจากนั่งรอด้วยความสิ้นหวังมานานแสนนาน
และประกาศถึงการเสียชีวิตลง ของศิษย์แห่งฮวาซานนามว่าช็องมยองเช่นกัน
——
/'เจ้ามิสามารถย้อนชะตาที่สวรรค์ลิขิตมาให้ได้ ทว่าสามารถเขียนชะตาขึ้นมาใหม่เองได้ สุดท้ายแล้ว— เจ้าจักเลือกสิ่งใด'
'ข้ามิปรารถนาที่จักเขียนชะตาใหม่ทับชะตาเดิมอันสิ้นหวัง ท่านก็รู้ดี'
'แม้จักต้องพบเจอกับโศกนาฏกรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนั้นหรือ'
'แม้จักต้องพบเจอกับโศกนาฏกรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ตาม'/
——
[ 一 :上 ]
ดวงตาคล้ายดอกเหมยอันกลมโตกะพริบขึ้นตื่น ภาพแรกที่เห็นตรงหน้าหาใช่ท้องนภาสีเลือดในสงครามศึกสุดท้ายหรือเพดานไม้เรือนแพทย์ที่ฝันว่าอยากกลับไปนอนไม่ ทว่าเป็นภาพของผนังตรอกในซอยสกปรกแห่งหนึ่ง
ช็องมยองยู่หน้าเล็กน้อยเมื่อสังเกตเห็นแมลงปีกแข็งชนิดหนึ่งเดินไต่อยู่บนกำแพงอิฐโทรม มิใช่ว่าเขาไม่คุ้นเคยกับพวกซอกเก่าที่คนขอทานอยู่กันหรอก — อย่างไรเดิมทีเขาก็เกิดเป็นเด็กกำพร้าบิดามารดาถึงตั้งสองครั้ง — แต่สิ่งที่ทำให้มิพอใจนั้นคือความจริงที่ว่าช็องมยองได้เกิดใหม่ในร่างของคนจำพวกนี้อีกแล้วต่างหาก
แต่บ่นไปอย่างไรก็มิได้อันใดขึ้นมา หากต้องการร้องเรียนนักก็คงต้องไปไปโวยวายกับสวรรค์อย่างเดียวเท่านั้น น่าเสียดายว่าช็องมยองค่อนข้างหวงแหนชีวิตที่สามเกินกว่าที่จักไปหาของมาจบชีวิตตนเองลงในเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นทั้งประตูทั้งกำแพงของสวรรค์ต้องมีพังทลาย ซ่อมกี่พันหมื่นปีคงไม่มีวันเสร็จแน่
ก่อนอื่นเลยทิ้งเรื่องน่าหงุดหงิดของสวรรค์ไปก่อน สิ่งสำคัญในยามนี้หาใช่บ่นเรื่องความอยุติธรรมแต่เป็นการคุ้ยขยะหาเศษอาหารทานต่างหาก ขืนยังนอนบ่นในตรอกสกปรกเช่นนี้ประเดี๋ยวร่างใหม่ของช็องมยองก็สิ้นไปก่อนวัยอันควรหรอก
คิดได้ดังนั้นเขาจึงใช้มือทั้งสองข้างยันพื้นดึงตัวเองขึ้นมา หลังจากนั่งได้แล้วก็พยายามลุกขึ้นยืนต่อ ท่าทีนั้นดูใช้เรี่ยวแรงมากจนช็องมยองอดสงสัยมิได้ว่าเจ้าของร่างคนก่อนหน้านี้มิได้ทานมานานแค่ไหนแล้ว ถึงขั้นแค่ลุกขึ้นยืนยังรู้สึกลำบากลำบนคล้ายจักสิ้นชีวาขนาดนี้
พอพยุงตัวลุกขึ้นเรียบร้อยแล้ว ช็องมยองก็จัดการเริ่มภารกิจใหญ่หลวงของเขาในทันที
นั่นก็คือ… การทำตัวน่าสงสารเพื่อหาของมารับประทานประทังชีวิตไปวันๆ นั่นเอง
‘แต่ก่อนอื่นเลย— ‘มือเล็กถูกนำขึ้นมาตบไปยังใบหน้าด้วยแรงไม่หนักไม่เบานัก ยามเมื่อนิ้วมือสัมผัสกับพวงแก้มซูบผอมนั้น ก็มีเศษฝุ่นคลุกสีเทาหลุดกระจายออกมาในทันใด ยิ่งไปกว่านั้นพอแบมือออกมาดูตรงบริเวณฝ่ามือก็มีสิ่งแปลกปลอมสีเทาดำเกาะติดมาอีก ‘—คงต้องล้างหน้าล้างตาก่อน’
ช็องมยองรู้ดีแก่ใจว่าขอทานอดอาหารใกล้ตายนั้นไม่มีสติมากพอที่จักคิดถึงเรื่องสุขอนามัยเท่าไรนัก ทว่าเขาก็อดอยากบ่นไม่ได้อยู่ดีเมื่อเห็นสภาพหน้าสะท้อนอยู่บนผิวน้ำลำธารนั่น หากขอทานผู้นั้นรู้ว่าจักมีคนใหญ่โตมาเข้าร่างของตนต่อจากนี้คงอับอายมากแน่ที่ไม่ได้ล้างกายให้ก่อนวิญญาณหลุดจากร่าง
ขณะคิดบ่นในใจเรื่องการทำความสะอาดร่างกาย ช็องมยองก็ตักน้ำจากริมธารามาสาดเข้าใบหน้าเปื้อนฝุ่นไปด้วย ทั้งเช็ดทั้งถูให้จนกลับมาดูเป็นผู้เป็นคนอีกครั้งหนึ่ง ได้เห็นเด็กหนุ่มจากอีกฝั่งของผืนน้ำใสจ้องมองกลับมา เขาก็เผยยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจอย่างไม่รู้ตัว
อย่างนี้สิ จักได้ขอเศษอาหารจากพวกชาวเมืองได้ง่ายหน่อย
แม้ความจริงช็องมยองจักมิจำเป็นต้องล้างหน้าสะอาดให้ผู้คนมาเอ็นดูเลยก็ตาม เพราะอย่างไรหากขออาหารไม่ได้นานๆ เข้า การใช้กำลังก็เป็นตัวช่วยอย่างหนึ่งในการหาอาหารเช่นกัน หากมิมีผู้ใดให้ ก็จงซัดหน้าอีกฝ่ายให้ล้มลงแล้วขโมยอาหารในมือเสีย จักไปยากอันใดเล่า
ดวงตาคล้ายดอกเหมยก้มลงไปมองเงาสะท้อนในธาราอีกครั้งหนึ่ง แม้จักไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไรนัก ทว่าใบหน้าอีกฝั่งที่สะท้อนกลับมานั้นเหมือนกับของโซซัม — หรือเจ้าของร่างขอทานคนก่อนนั่นเอง — มิมีผิด
ครั้นเมื่อจักเอื้อมมือไปสัมผัสกับผิวน้ำนั้น วิสัยทัศน์ของช็องมยองพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานในทันใด ริมธารตรงหน้าแปรเปลี่ยนเป็นผืนหญ้าเปรอะเลือด ปลายดาบหักถูกนำมาไว้ข้างหน้าของเขาอีกครั้งหนึ่งปรากฎภาพของชายหนุ่มในอาภรณ์สีทมิฬของศิษย์ฮวาซาน
เขากับบุรุษผู้นั้นจ้องมองกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนช็องมยองจักออกแรงปัดมือออกไปด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี เอาจนวิสัยทัศน์ที่กำลังเห็นอยู่นี้เลือนหายไปแทนทับด้วยภาพริมธาราและท้องนภาสีครามแทน ไร้ร่องรอยของเหตุการณ์เมื่อครู่ราวกับว่าสิ่งเหล่านั้นมิเคยมีอยู่มาก่อน มีเพียงช็องมยองเท่านั้นที่รู้ว่าภาพที่เห็นเป็นความทรงจำก่อนเสียชีวิตลงในชาติก่อน
ผิวน้ำกระเพื่อมลบเงาสะท้อนในน้ำออกอย่างรวดเร็ว เขามองวงน้ำขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นจากฝีมือของตนเองก่อนจะถอนหายใจออกมา มือเต็มไปด้วยหยดน้ำถูกนำมาเช็ดเข้ากับกางเกงผืนเก่าของเจ้าของร่างให้แห้ง จากนั้นจึงยกมือที่แห้งแล้วขึ้นมารีดน้ำออกจากปลายผมต่อ
จนถึงบัดนี้ก็ยังจดจำวินาทีสุดท้ายในสนามรบได้ไม่เคยลืม วินาทีนั้นที่หากช็องมยองตัดสินใจมิฝืนขยับร่างกายให้เดินไปตัดศีรษะของเทพมาร เขาจักไม่เสียเลือดมากจนเสียชีวิตลงมาเกิดใหม่อย่างนี้
ทว่าช็องมยองมิเคยนึกเสียใจในทางเลือกของตนในครานั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว มิใช่ว่าเขาเองไม่ต้องการมีชีวิตต่อร่วมกับสหายและผู้คนในสำนักอันใดหรอก แต่หากว่าเส้นชะตาได้ขาดไปแล้ว ผูกอย่างไรก็มิสามารถทำให้มันกลับมาสมบูรณ์ได้เช่นเดิม อีกอย่างเวลานั้นถ้าไม่รีบตัดสินใจ พวกเขาทุกคนซึ่งกำลังสลบอยู่ในศึกครั้งสุดท้ายนั่นจักเป็นคนตายแทน
บางครั้งเขาก็คิดว่าเหล่าคนในฮวาซานจักเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างไร บางครั้งก็นึกห่วงเหล่าสหายทั้งหลายว่าจักมีแรงทำงานหรือไม่ แต่พอมาคิดดูอีกทีแล้วชีวิตของคนมักต้องเดินหน้าต่อเสมอ หากหยุดอยู่ที่เดิมมิเป็นอันทำอันใดเช่นนั้นถึงจักเรียกว่าคนไร้ประโยชน์ของแท้
ผู้คนที่ช็องมยองรู้จักหาใช่คนไร้ประโยชน์ไม่ ฉะนั้นเขาจึงวางใจว่าแม้จักไม่มีตนยืนมองพวกเขาจากด้านหลัง คนเหล่านั้นก็สามารถเดินต่อไปในเส้นทางที่เลือกเอาไว้ได้อยู่ดี
ช็องมยองส่ายศีรษะเอาความคิดพวกนั้นออกไปจากหัว ‘นั่งเหม่อริมธารอยู่เช่นนี้ เจ้าจักได้อาหารมาทานเมื่อไรกันหนอ’
ว่าแล้วเขาจึงรีบลุกเตรียมออกก้าวเดินออกไปจากตรงนั้นในทันใด ทว่าก่อนจักได้เริ่มยกเท้าขึ้นมาก้าวแรก ช็องมยองก็กลับไปนั่งลงใกล้ธาราแล้วยกมือขึ้นมาสัมผัสใบหน้าของตนอีกครั้งหนึ่ง ยามมองลึกเข้าไปในดวงตาเงาสะท้อนเจ้าของร่าง เสียงของสตรีก็ลอยเข้ามาในหัวของเขา
/ ‘การย้อนชะตาสู่ชาติก่อนนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างร้ายแรง ผู้ใดฝ่าฝืนต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมถึงสี่ชาติภพด้วยกัน’ /
มิรู้ว่าการให้ร่างที่มีหน้าตาคล้ายโซซ้มมานี้คือนางที่ต้องการแกล้งเขาหรือเป็นคำสั่งของสวรรค์กันแน่ แต่จักเป็นอันใดก็มิเกี่ยวกับเขานั่นแล ในเมื่อเทพตนนั้นได้สำเร็จสัญญาที่ให้ไว้กับเขาแล้ว เช่นนั้นก็ถึงตาของช็องมยองเดินตามบันทึกสัญญาของทั้งสองบ้าง
เขาก้มลงมองภาพสะท้อนในน้ำอีกพักหนึ่งก่อนจักพยุงตัวลุกขึ้น หมุนเท้าเดินจากไปจากตรงนั้น ไม่ทันหลังกลับมามองอีก
เอาล่ะ ได้เวลาหาอาหารเข้าท้องแล้ว คงต้องเริ่มจากการไปขอตามร้านค้าริมทางก่อนงั้นสิ
ว่าแต่… เวลาพวกขอทานมีคุณธรรมเขาขออาหาร พวกเขาขอกันอย่างไรนะ
ช่างมันเถิด หากมิได้อาหารมาทานก่อนค่อยว่ากันใหม่อีกทีหนึ่งก็แล้วกัน
——
‘ทุกๆ การย่างเข้าวสันตฤดูผ่านฤดูเหมันต์ ดอกเหมยจักเบ่งบานจากกิ่งก้านของมันอย่างสวยงาม เขาเคยกล่าวไว้เช่นนี้ ตัวข้าในเวลานั้นแม้จักมิรู้ว่าภาพนั้นเป็นอย่างไร ทว่าก็ยังเฝ้าฝันถึงวันที่จักได้ไปดูดอกเหมยผลิบานกับเขาทุกคืนวัน’
——
เด็กสมัยนี้ขี้เหนียวขึ้นหรือช็องมยองแค่คิดไปเองกันแน่
ไม่ว่าเขาจักทำอย่างไรก็มิได้สิ่งใดติดตัวกลับมาแม้แต่สิ่งเดียว ขนาดเศษอาหารเพียงเล็กน้อยเจ้าคนพวกนั้นยังไม่ยอมยื่นให้ ถึงเรื่องราวการเป็นคนขอทานคราแรกจักผ่านมาหลายชั่วยามและเวลานี้ช็องมยองก็มีอาหารติดไม้ติดมือมาทานแล้ว ทว่ามรสุมไฟในอกของเขาก็ยังมิมอดดับลงไปอยู่ดี
นึกแค้นรอยยิ้มแหยๆ ของชาวเมืองเหล่านั้นทุกการกัดก้อนแป้งนึ่งในมือ จักเคี้ยวให้ลืมความโกรธอย่างไรก็มิอาจลืมลง ซ้ำยังทำให้หงุดหงิดยิ่งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
ใบหน้าของเขามิน่าเห็นใจตรงไหนกัน พวกเจ้าถึงได้พยายามเดินเลี่ยงออกไปทุกคราที่ข้าเดินเข้าไปใกล้น่ะ
บ่อยครั้งในชีวิตก่อนช็องมยองก็ทำสีหน้าอย่างนี้แทนการขอร้องอ้อนวอนพวกศิษย์ฮวาซานให้ทำตามคำขอเขา ศิษย์พวกนั้นนอกจากจักไม่เดินหนีไม่เอาแต่ส่งยิ้มแห้งให้แล้ว พวกเขายังขยันขันแข็งในการทำทุกสิ่งตามที่เขาปรารถนาอีกต่างหาก เหตุใดชีวิตนี้ถึงทำมิได้บ้างเล่า
หืม เพราะชีวิตก่อนเอ่ยแต่ถ้อยคำบังขู่เข็ญหรือ เพ้อเจ้อแล้ว พวกศิษย์ทำให้ด้วยความเต็มใจต่างหากเล่า
ท้ายที่สุดพอหาของทานเยี่ยงขอทานมีคุณธรรมมิได้ก็ต้องใช้วิธีอคุณธรรมสถานเดียว คือการใช้กำลังแลกอาหารนั่นเอง ยังดีที่ช็องมยองเก่งในด้านนี้จึงหาเหยื่อมาขโมยของได้ไม่ยากนัก และกลุ่มผู้เคราะห์ร้ายรายแรกของเขาก็มิใช่ผู้ใดเลยนอกจากกลุ่มขอทานอ้างตัวว่าเป็นเจ้าของตรอกแคบตรอกหนึ่ง
ยังดีที่คนเหล่านี้รู้วิธีขอทานรวมทั้งวิธีขโมยข้าวของจากร้านค้าตามทางกว่าช็องมยองมากโข ทำให้ไม่รู้สึกผิดเวลาเข้าไปยึดเสบียงกลับรังบ้านเกิดของตนเท่าใดนัก
กล่าวเช่นนี้แล้ว ให้ความรู้สึกเหมือนเขาเป็นสุนัขเร่ร่อนคอยแย่งอาหารจากสุนัขเจ้าถิ่นอย่างไรก็มิสามารถทราบได้ ทว่าจักให้ทำอย่าไรได้เล่าในเมื่อชีวิตของคนนั้นต้องการความอยู่รอดมากกว่าสิ่งใดบนโลกเช่นนี้
อีกอย่างในการฝึกกำลังภายในแต่ละครั้งยิ่งต้องการพลังงานมหาศาลด้วย หากเอาแต่ขออาหารทานอยู่อย่างนี้เช่นนั้นทั้งชีวิตคงมิต้องทำอันใดแล้วเป็นแน่แท้
แม้ว่าจักรู้ว่าการทำตัวเป็นขอทานมีคุณธรรมนั้นจักยากเย็นถึงเพียงใด ทว่าช็องมยองก็ยังพยายามฝึกขออาหารมาทานทุกวัน หากวันนั้นดูไร้วี่แววคนสนใจ เขาก็เลิกทำเสียเดี๋ยวนั้น หากวันไหนมีผู้คนให้ความสนใจเยอะขึ้นมาหน่อย ช็องมยองก็จักทำตัวน่าเห็นใจเช่นนั้นต่อไปอีกสักครู่แล้วจึงค่อยเลิกทำ
ส่วนเวลาเหลือในแต่ละวันนั้นจักถูกใช้ไปกับการรีดไถของมาจากสหายบ้านใกล้เรือนเคียง — หรือกลุ่มคนขอทานด้วยกันนั่นแล — และฝึกกำลังภายในให้แกร่งทั้งหมด
ชีวิตประจำวันของช็องมยองได้ดำเนินไปอย่างปกติสุขดีเช่นนี้ ตื่นเช้ามาเริ่มเดินไปขออาหารทานเป็นอย่างแรก หากมิได้สิ่งใดติดมือกลับมาก็เดินไปขโมยเสบียงของขอทานกลุ่มแรกที่พบเห็นต่อ จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิสูดลมหายใจเข้าลึกพ่นลมหายใจออกช้าเพื่อฝึกกำลังภายในต่อ
จนกระทั่งวันแสนธรรมดาวันหนึ่งได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตอันเรียบง่ายนี้ของเขาไปตลอดกาล ดั่งเช่นทุกวัน วันนี้เองก็เป็นโชคร้ายของช็องมยองอีกครั้งหนึ่งที่หาอาหารมิได้อีกแล้ว เขาทำได้แค่เพียงถอนหายใจกับสองมือเปล่าของตนเท่านั้น พลางคิดพิจารณาไปด้วยว่า ‘หรือบางทีข้าควรใช้เวลาส่วนนี้ไปฝึกกำลังภายในกัน ในเมื่อขออย่างไรก็มิมีทางได้เช่นนี้’
ส่วนเรื่องปากท้องมิมีอันใดน่าเป็นห่วงเท่าไรนัก อย่างไรกลุ่มขอทานใกล้ๆ ก็มีอาหารเพียงพอให้แย่งทานทุกวันอยู่แล้ว
เวลานั้นเองที่ช็องมยองตัดสินใจเลิกเป็นขอทานแล้วผันตัวเป็นเซียนน้อยแทน ถึงผู้คนยุคนี้จักมิต้องการอาชีพไร้สาระอย่างเซียนแล้วก็ตามเถิด
ว่าพวกเขาไม่ได้หรอก ช็องมยองเองบางคราก็คิดว่าตนมิควรเสียเวลามาฝึกกำลังภายในเช่นกันกลับกันเขาควรออกเดินทางท่องยุทธภพเที่ยวเล่นอย่างที่เคยปรารถนาไว้มากกว่า ผืนโลกาอันแสนสงบสุขและแผ่นหลังไร้ซี่งภาระเช่นนี้— นานแค่ไหนแล้วที่ช็องมยองมิได้สัมผัสมัน
ขณะคิดอันใดไปเรื่อยเปื่อยอยู่นั้นเอง ก็มีเสียงคนตะโกนโวยวายดังมาจากตรอกซอยข้างหน้า คิ้วของช็องมยองเลิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ นับวันพันปีถิ่นของเจ้าพวกขอทานมิเคยมีเรื่องทะเลาะมีแต่คำว่าสงบสุขเสมอ เหตุใดวันนี้ถึงมีเรื่องชกต่อยเกิดขึ้นได้กัน
‘เอ๊ะ หรือว่าจักเป็นเพราะข้า’ เขาคิดกับตัวเองแต่พักหนึ่งก็ปัดความคิดนั้นออกไป ‘เกี่ยวไม่เกี่ยวก็ช่างเถิด อย่างไรข้าก็ไม่ใส่ใจอยู่แล้วนี่’
เมื่อคิดได้ดังนั้นก็เตรียมยกเท้ามาก้าวเดินผ่านตรอกนั้นไปในทันที เสียงของผู้คนมีเรื่องทะเลาะกันเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ถึงอย่างนั้นพวกเขาจักเอ่ยหรือสบถถ้อยคำใดออกมา ช็องมยองก็หาได้ใส่ใจอันใดไม่อย่างไรนั่นก็มิใช่เรื่องของเขาอยู่แล้ว
จนกระทั่งมีคนผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาว่า “เจ้าเด็กตระกูลคนใหญ่คนโตนี่ช่างดื้อด้านเสียจริง อุส่าเห็นใจ มิปลิดชีพให้ตายในทันทีถึงขนาดนี้ ก็ยังไม่ยอมควักเงินในแขนเสื้อออกมาให้อีก สมกับเป็นตระกูลถังดีแท้”
/ ‘ตระกูลถัง’ /
คำนั้นเรียกความสนใจของช็องมยองได้เป็นอย่างดี จากกำลังจักก้าวเท้าเดินไปต่อเปลี่ยนเป็นลากตัวเองกลับมาเกาะกำแพงมองสถานการณ์ตึงเครียดในตรอกทันที จากตรงที่ยืนอยู่ เขาเห็นเด็กหนุ่มอายุใกล้เคียงกับช็องมยองกำลังถูกบุรุษร่างใหญ่หลายคนรุมล้อมอยู่ สภาพบาดแผลบนใบหน้าและอาภรณ์สีเขียวขาดวิ่นของอีกฝ่ายดูไม่ค่อยน่ามองเท่าใดนัก ท่าทางว่าจักโดนทุบตีมาหนักหนาอยู่พอสมควร
ทว่าถึงกระนั้นเด็กหนุ่มที่ว่าก็ยังมีสีหน้ามุ่งมั่นไร้ซึ่งความหวาดกลัวต่อสิ่งตรงหน้า จนกระทั่งช็องมยองที่เกาะดูอยู่ห่างๆ ยังรู้สึกสนใจ แม้จักมิรู้ว่าคนผู้นี้เป็นใครในตระกูลถังทว่าเขาก็มั่นใจได้อย่างหนึ่งว่าคงมิใช่คนในชาติก่อนอย่างแน่นอน เพราะหน้าตาดูไม่คุ้นเลยนั่นเอง อีกอย่างเทพตนนั้นก็มิได้กล่าวว่าจักมีคนในอดีตอยู่ในสี่ชาติด้วย
พูดถึงเรื่องนี้ก็แอบรู้สึกคิดถึงถังกุนอักอยู่เหมือนกัน… รายนั้นหากยังอยู่ ป่านนี้คงโดนช็องมยองลากไปดื่มสุราหนีจากกองเอกสารบนโต๊ะไปแล้ว รวมทั้งนึกถึงถังโบ สหายเก่าในชาติของชาติที่แล้วด้วย แม้รู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่เด็กหนุ่มคนนี้มิใช่ถังโบทว่าหากเป็นเช่นนี้ก็คงดีที่สุดแล้วกระมั้ง จักได้ไม่รู้สึกผูกพันกับผู้คนในชาตินี้เกินควร
จักว่าไปเขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าจักมีตระกูลถังอยู่ในชีวิตที่สามด้วย นึกว่าจักสลายหายไปเป็นตำนานตามประวัติศาสตร์จีนตามกาลเวลาเสียอีก
ดวงตาคล้ายดอกเหมยวูบไหว ประกายความคะนึงหาปรากฎขึ้นในตาของเขาครู่หนึ่งก่อนจักเลือนหายไปราวภาพลวงตา แทนทับด้วยสายตามุ่งมั่นแทน
เอาล่ะ ในเมื่อมีเด็กตระกูลถังโผล่มาตรงหน้าอย่างนี้แล้ว ช็องมยองก็จักทำสิ่งในที่ควรทำให้หน่อยก็แล้วกัน
คือการช่วยให้ออกมาจากสถานการณ์วุ่นวายหรือ มิใช่ หมายถึงไปช่วยเขาออกมาจักได้ถูกมองว่าเป็นผู้มีพระคุณอย่างใหญ่หลวงต่อตระกูลถึงต่างหาก
เหมือนว่าเด็กนี่สวมอาภรณ์ของทายาทตระกูลถังด้วยนี่ ช่วยทายาทตระกูลได้ยิ่งเป็นผู้มีพระคุณมากขึ้นไปอีก ครานี้ก็จักได้มิต้องลำบากไปหมัดมวยแย่งอาหารมาจากสหายขอทานบ้านใกล้เรือนเคียงแล้ว
ไม่รอช้า ช็องมยองรีบเดินเข้าไปในตรอกนั้นในทันที เพราะส่วนสูงเท่าแมวเด็กของเขาจึงทำให้กลุ่มพวกรีดไถเงินชาวบ้านไม่ทันได้สังเกตเห็นถึงการมาของช็องมยอง ขนาดมายืนอยู่ตรงด้านหลังแล้วเจ้าพวกนั้นก็ไม่คิดจักหันมามองเลยแม้แต่คนเดียว กระทั่งตัวเด็กหนุ่มตระกูลถังยังมิคิดใส่ใจเขาเสียด้วยซ้ำ
จากข้างหลัง ช็องมยองได้ยินเจ้าพวกนี้พูดคุยกันว่า “ลูกพี่เอาอย่างไรดี หากปล่อยกลับไปในสภาพเช่นนี้พวกเรามีหวังถูกสั่งประหารหน้าลานของตระกูลถังเป็นแน่”
“ในสถานการณ์เช่นนี้ เจ้ายังจักถามข้าอยู่อีกหรือ แน่นอนว่าต้องเชือดมันทิ้งอยู่แล้ว”
“ท-ทว่าหากพวกเราลงมือกับทายาทตระกูลถัง โอกาสที่จักถูกตามล่าหนักกว่าเก่ายิ่งมีมากนะขอรับ”
“ช่างมันประไร แค่เด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้นเอง จักมีคนมาเจอมันเมื่อไรก็มิรู้ กว่าจักพบศพ พวกเราคงหนีออกเมืองไปกันแล้วกระมั้ง พี่น้องข้า อย่าคิดรีรอ ลงมือกับเขาเลย”
ทายาทตระกูลถังซึ่งเป็นที่กล่าวถึงอยู่นี้หรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น สองมือซ่อนอยู่ด้านหลังเสื้อคลุมตัวนอกกุมมีดกริชในมือแน่น หากมีผู้ใดเข้ามาโจมตีก่อนเขาก็พร้อมจักปากริชออกไปในทันใด
ทว่ายังมิทันที่ฝั่งใดฝั่งหนึ่งจักได้ลงมือก็มีเสียงเล็กของเด็กน้อยดังขึ้นมาเสียก่อน “โฮ่ พวกเจ้านี่ช่างไร้ยางอายดีเสียจริง หาเรื่องแม้กระทั่งกับเด็กน้อยตาดำๆ คนหนึ่ง เป็นกลุ่มโจรประสาอะไรสู้คนใหญ่โตในตระกูลเขามิได้ก็ต้องมาหาเรื่องคนที่อ่อนแอกว่าแทน มิได้เรื่องเล๊ย มิได้เรื่องเลย”
ใช่ เจ้าของเสียงเด็กน้อยคือช็องมยองเอง
ทางด้านกลุ่มพวกที่กำลังรีดไถเงินจากทายาทตระกูลถังอยู่นั้นต่างพากันหันหน้าไปมองยังต้นเสียงกันหมด คราแรกทั้งตกตะลึงทั้งโมโหที่มีคนมาต่อว่าตนเองด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยเช่นนั้น ทว่าเมื่อเห็นร่างของเด็กน้อยยืนแคะหูอยู่ด้านหลังก็เป็นต้องหยุดนิ่งกันในทันใด
ก่อนจักนึกขึ้นได้ว่าเป็นเด็กนี่แหละที่กล้าพูดต่อว่าพวกเขาก่อนหน้านี้ ครั้งนี้ทั้งรู้สึกอับอายและโมโหเวลาเดียวกันจนมิเป็นอันสนใจเด็กน้อยที่ตั้งใจมาไถเงินแต่แรกอีกต่อไป กลับกันพวกเขาหันไปสนใจขอทานปากดีคนนี้แทน
“เมื่อครู่นี้ เจ้าว่าอย่างไรนะ” ผู้นำกลุ่มโจรกดเสียงลงต่ำถาม แม้ท่าทีนั้นจักเหมือนเสือกำลังจ้องมองเหยื่อของมันถึงเพียงใด ทว่าช็องมยองก็ยังเงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตากลมโตไร้เดียงสาอย่างไม่หวาดกลัวสิ่งใดอยู่ดี ตัวเขาเป็นถึงมังกรศักสิทธิ์แห่งฮวาซาน ใยต้องกลัวเสือติดดินมีดีแค่ขโมยสิ่งของของชาวบ้านด้วย
“เจ้าหูหนวกหรือไร ยังมีอนาคตตั้งไกลแท้ๆ แต่กลับมาหูหนวกก่อนวัยอันควรเนี่ยนะ” ช็องมยองส่ายศีรษะแสดงความไม่พอใจของตนออกมา เขาจิปากถึงสามครั้งด้วยกันก่อนจักกล่าวตอบไปว่า “ข้าบอกว่า พวกเจ้านี่ช่างไร้ยางอายดีเสียจริง หาเรื่องแม้กระทั่งกับเด็กน้อยตาดำๆ คนหนึ่ง เป็นกลุ่มโจรประสาอะไรสู้คนใหญ่โตในตระกูลเขามิได้ก็ต้อง—”
ยิ่งช็องมยองกล่าวไปเยอะเท่าไร เส้นเลือดบนหน้าผากของผู้นำกลุ่มโจรก็ยิ่งปูดโปนด้วยโทสะขึ้นเรื่อยๆ พอมาถึงยังประโยคเกือบสุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป รีบรุดเข้าไปเหวี่ยงหมัดใส่ใบหน้าของขอทานตรงหน้าในทันใด “เจ้าเด็กเหลือขอนี่ ข้าจักทำให้ปากของเจ้าพิการจนพูดไม่ได้ทานข้าวไม่ลงเดี๋ยวนี้แล”
คาดไว้อยู่แล้วว่าคนเลือดร้อนอย่างเขาจักระเบิดอารมณ์ออกมาง่าย
ช็องมยองมิได้ยืนนิ่งรอให้กำปั้นนั้นลอยมาเข้าหน้าตนแต่อย่างใด แขนทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาป้องกันหน้าของตนเอาไว้รอรับแรงกระแทก แล้ววางแผนสวนหมัดกลับหลังจากนั้นในใจ
แต่ไม่ทันที่กำปั้นนั้นจักได้แตะแม้แต่ปลายผมของเขา ช็องมยองก็ได้ยินเสียงของหนักร่วงลงกับพื้นเสียก่อน เมื่อคลายแขนออกมาดูสถานการณ์ตรงหน้าอีกทีหนึ่งก็พบผู้นำกลุ่มโจรก่อนหน้านี้นอนแน่นิ่งลงไปกับพื้นตรอกเรียบร้อย ส่วนพวกลูกน้องที่เหลือนั้นได้แต่ยืนนิ่งตกตะลึงกับสภาพของผู้นำจนมิเป็นอันทำอันใดต่อไปพักหนึ่ง
มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ไม่แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมากับเหตุการณ์นี้ นั่นก็คือเด็กหนุ่มทายาทตระกูลถังนั่นเอง
ยามเมื่อสังเกตเห็นประกายแสงแวบวับจากมือของเขา ช็องมยองก็เข้าใจทุกอย่างโดยมิต้องการถ้อยคำอธิบายใดๆ ทั้งสิ้นทันที ทว่ากลับมีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในใจแทน หากเจ้าเด็กคนนี้สามารถใช้มีดกริชอาบยาพิษได้อย่างยอดเยี่ยมและตรงจังหวะเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่ยอมใช้ตั้งแต่แรกกัน
อย่างไรก็ช่างเถิด ทิ้งคำถามไว้ถามทีหลังนู่น ตอนนี้มาจัดการกับพวกโจรที่เหลือก่อนเถิด
น่าแปลกไม่น้อยที่พวกเขาสามารถร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี ครั้นเมื่อมีดกริชในมือของอีกฝ่ายพุ่งออกไปช็องมยองก็จักสกัดจุดสำคัญของฝั่งศัตรูให้มีดอาบยาพิษเข้ามาปักได้ในทันใด และพอเขายกเท้าขึ้นมาจัดการศัตรูจากด้านหลังไม่ทัน เด็กหนุ่มคนนั้นก็จักปามีดกริชมาตรงจังหวะทุกครั้งไป
หนึ่งทายาทหนึ่งขอทานร่วมมือโจมตีอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งทั้งตรอกนี้มีเพียงแค่พวกเขายืนอยู่ ท่ามกลางเหล่าโจรที่สลบนอนกองลงไปกับพื้นทั้งหลาย ช็องมยองเอื้อมมือขึ้นมาเช็ดเม็ดเหงื่อหยดแล้วหยดเล่า ปากก็ไม่ยอมหยุดหายใจหอบเพราะความเหนื่อยเสียทีจนน่ารำคาญ เมื่อหันไปมองของคนสวมเสื้อคลุมนอกสีเขียวพาดลายสีม่วงนั่นแล้วก็พบว่าอีกฝ่ายมีสภาพไม่ต่างจากเขาเท่าใดนัก
ได้เห็นเช่นนี้ช็องมยองก็พอใจแล้ว อย่างน้อยเขาก็มิใช่คนเดียวที่ลำบากเหนื่อยในศึกครั้งนี้ล่ะนะ หากหันหน้าไปแล้วยังเห็นเด็กนี่ปกติสุขดีทุกอย่าง ช็องมยองคงขาดสติเขย่าคอเขาไม่หนึ่งก็สองครั้งเป็นแน่ ข้อหาทิ้งให้ลำบากอยู่คนเดียว
“เจ้าเองก็เก่งนี่ เหตุใดจึงมิยอมจบเรื่องนี้แต่แรกที่โดนรีดไถเงินเล่า” ช็องมยองมิรอช้ากล่าวคำถามในใจออกไปทันใด
ครั้งแรกที่ได้ยินเขาถามเช่นนั้น อีกฝ่ายดูจักมิค่อยอยากตอบเท่าไรนักทว่าราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าขอทานคนนี้เป็นผู้มีพระคุณของตน เขาก็ยอมเอ่ยปากตอบกลับมาว่า “ก่อนทำสิ่งใดก็ต้องมองสถานการณ์ให้รอบคอบก่อน หากปาพิษออกไปมั่วซั่วโดยไม่หาจังหวะก่อนจักเป็นการเปลืองมีดไปเสียเปล่า”
“มาปลงมาเปลืองอันใดกัน มิอยากทำแต่แรกก็บอกมิอยากทำแต่แรกสิ ข้ามิอยากเชื่อเลยว่าทายาทตระกูลคนใหญ่คนโตจักโกหกขอทานตาดำๆ อย่างข้าได้ลงคอ”
“……”
ทายาทตระกูลถังกระแอมไอเสียงดังแทนการกล่าวว่า ‘ช่วยไว้หน้าข้าโดยการไม่ถามอันใดหน่อยเถิด’ ซึ่งด้วยความที่ว่าช็องมยองเป็นคนมีน้ำใจมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาจึงหุบปากของตนลงแล้วรอฟังคำพูดต่อไปของฝั่งนั้นแทน
หลังจากนั้นไม่นานนัก เด็กหนุ่มคนนั้นก็เริ่มพูดออกมาก่อนจริงๆ “ขอบคุณเจ้ามากสำหรับความช่วยเหลือ มิคาดฝันมาก่อนเลยว่าข้าจักถูกคนขอทานช่วยเข้าให้ในสักวันหนึ่ง ขายหน้าเจ้าแล้ว”
“ช่างเถิด ตัวข้าเองก็มิคิดว่าทายาทตระกูลใหญ่โต ขึ้นชื่อเรื่องยาพิษอย่างเจ้า จักช่วยเหลือตนเองไม่ได้เช่นกัน”
“…ไอ่เด็กเวรนี่”
“ข้าก็อายุพอๆ กับเจ้านั่นแล จักเรียกเด็กได้อย่างไร”
“……”
มิทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ทว่าเด็กหนุ่มมีความรู้สึกว่าหากยังนั่งสนทนากับคนผู้นี้ต่อ มีหวังคงขาดสติโยนอีกฝ่ายลงหน้าผาสูงก่อนจักได้ตอบแทนบุญคุณอันใดเป็นแน่แท้ จึงรีบยื่นมือออกไปพลางเลือกหัวข้อสนทนาเปลี่ยนเรื่องเสียเดี๋ยวนั้น “คุยกันมาตั้งนานดันลืมแนะนำตัวกับเจ้าไปเสียได้— นามของข้าคือถังกุนอัก เป็นทายาทตระกูลถังแห่งซื่อชวน ยินดีที่ได้พบ”
“ถัง… กุนอักหรือ” ได้ยินนามนั้น ดวงตาคล้ายดอกเหมยก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจในทันใด เขามองเด็กตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงค่อยกลับมาสบตากับอีกฝ่าย
ไม่เหมือน ดูอย่างไรก็ไม่เหมือน
ส่วนหนึ่งอาจเป็นช็องมยองด้วยที่เคยชินแต่กับใบหน้ามีหนวดเคราและริ้วรอยตามประสาชายวัยกลางคนของอีกฝ่าย ทว่าถึงขนาดมิสามารถมองออกได้ตั้งแต่คราแรกที่พบกันเช่นนี้จักไม่แปลกไปหน่อยหรืออย่างไรกัน เช่นนี้มิได้หมายความว่าถังกุนอักเปลี่ยนไปจนราวกับว่าเขาเป็นคนละคนหรอกรึ
หากปัดเรื่องนี้ทิ้งไปก่อน… ก็มีคำถามหนึ่งที่ช็องมยองอยากตะโกนถามฟากฟ้าจากด้านบนว่า
‘ล้อข้าเล่นแล้ว ในสัญญาของเจ้ามิเห็นกล่าวถึงคนในอดีตแม้แต่ตัวอักษรเดียว นี่เจ้าจงใจแกล้งข้าอยู่หรือไร’
การที่มีคนในอดีตโผล่มาเช่นนี้สามารถบ่งบอกสิ่งหนึ่งได้กับช็องมยอง นั้นคือชีวิตที่สามของเขาจักมิใช่แค่การมีชีวิตอยู่รอดรอวันตายไปวันๆ อย่างแน่นอน
ถึงจักคาดเดาเอาไว้อยู่แล้วทว่าพอเมื่อได้คำยืนยันตอบกลับมาเช่นนี้ ช็องมยองก็มิรู้ว่าตนควรรู้สึกอย่างไรดีเหมือนกัน
เสียใจหรือ ก็มิได้มีอันใดให้เสียใจขนาดนั้น
เสียดายหรือ เดิมทีชาตินี้ก็เป็นเพียงข้อแลกเปลี่ยนของสัญญาฉบับหนึ่งเท่านั้น จักอยากใช้ให้คุ้มค่าอย่างไร ผลลัพธ์ในตอนสุดท้ายก็จักออกมาเป็นเช่นเดิม
สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจออกมาพร้อมปัดความคิดเหล่านั้นออกจากหัวไปด้วย จากนั้นจึงเอื้อมมือไปจับกับมือของถังกุนอักซึ่งยื่นมารอก่อนหน้านี้ เขายิ้มตาหยีคล้ายจันทร์เสี้ยวก่อนจะเอ่ยออกไปว่า
“ข้ามีนามว่าช็องมยอง ยินดีที่ได้พบ”
เรื่องพวกนั้นคิดมากก็รกหัวไปเปล่าๆ เพราะฉะนั้นขอให้เขาได้เห็นแก่ตัวทำในสิ่งที่ตนอยากทำมาทั้งชีวิตด้วยเถิด ก่อนจักย้อนกลับไปใช้ชีวิตเช่นคนปกติมิได้อีก
ไว้เมื่อถึงเวลานั้นเมื่อไร ค่อยแก้ไขตอนนั้นก็คงไม่สายเกินไปหรอกกระมั้ง
——
‘เขาบอกข้าว่าเขามักชื่นชอบเวลาได้ดื่มชากลิ่นดอกเหมยควบคู่ไปพร้อมกับขนมไหว้พระจันทร์เสมอ ข้าเองก็มิค่อยเข้าใจนักหรอก ทว่าเมื่อได้ลองลิ้มรสชาติของโปรดของเขาดูแล้ว ข้าคิดว่าตนเองพอเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว’
——
ตั้งแต่นั้นมาช็องมยองก็ได้เป็นดั่งพี่น้องร่วมสาบานกับถังกุนอัก ทั้งยังได้ตระกูลถังเป็นบ้านใหม่สมใจอยากอีกด้วย สาเหตุที่ได้สิ่งเหล่านี้มาก็มิใช่อันใดเลยนอกจาก เขาไปทำข้อตกลง (ฝ่ายเดียว) กับถังกุนอักมาว่าต้องการได้ของตอบแทนเป็นที่อยู่อาศัยคุ้มกะลาหัวสักที่
และถ้าหากว่าอีกฝ่ายมองว่ามันเป็นสิ่งที่เกินตัวจักทำได้ไปหน่อย ก็เสนอตัวเป็นที่ปรึกษาของตระกูลในอนาคตให้เสีย
ซึ่งคำกล่าวนั้นมิได้เอ่ยขึ้นลอยๆ เพื่อหลอกให้ถังกุนอักตายใจยอมนำช็องมยองเข้ามาเลี้ยงดูในตระกูลของตนแต่อย่างใด ทว่าเป็นความจริงที่กระทั่งนักปราชญ์ผู้เก่งกาจทางด้านดาราศาสตร์ของตระกูลยังต้องพยักหน้ายอมรับเมื่อได้เห็นเขาครั้งแรกที่ก้าวผ่านธรณีประตูมา
ช็องมยองถูกทำนายเอาไว้ว่าจักเป็นคนให้คำปรึกษาที่ดีต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน ปัญญาของคนผู้นี้มิว่าใครก็หาเทียบได้ไม่ติด แต่หากเติบใหญ่มาแล้วอาจเป็นคนที่น่ารำคาญเสียหน่อย อดทนอดกลั้นกับนิสัยของเขาหน่อยก็แล้วกัน
ทางด้านของช็องมยองยามได้ยินคำว่า / ‘คนน่ารำคาญ’ / ออกมาจากปากของนักปราชญ์ผู้นี้ ก็พลันหัวเราะแห้งๆ ด้วยความเขินอายเล็กน้อย ในขณะที่ในใจคิดด้วยไฟแค้นว่า ‘ตาเฒ่านี่ หากมิใช่เพราะเจ้าเป็นนักทำนายที่น่านับถือคนหนึ่งสำหรับข้าล่ะก็นะ…’
ในถานะผู้มีพระคุณของทายาทตระกูล บ่าวรับใช้ในตระกูลรวมทั้งผู้คนในตระกูลจึงปฏิบัติกับเขาเหมือนคุณชายตระกูลใหญ่คนหนึ่ง — แม้ก่อนหน้านี้ช็องมยองจักเป็นเพียงแค่ขอทานข้างถนนที่พวกเขาเห็นได้ทุกวันก็ตาม — ทว่าในเมื่อเวลานี้คนผู้นี้ได้เข้ามาเป็นคนในตระกูลถังแล้ว เช่นนั้นการมองว่าเจ้าตัวเป็นคุณชายก็เป็นเรื่องที่จำเป็นเป็นอย่างมาก
ก็หากมิเลือกปฏิบัติด้วยเช่นนั้น ประเดี๋ยวคุณชายของตระกูลตัวจริงจักพิโรธเอาหรอก ถึงความจริงฝ่ายนั้นรู้ดีว่าช็องมยองหาใช่คนที่ถูกกลั่นแกล้งได้ง่ายก็ตาม
และด้วยเหตุนี้เองทั้งเขาทั้งถังกุนอักจึงได้เติบโตมาในตระกูลถังด้วยกัน จากคนรู้จักเป็นสหายสมัยเด็ก และจากสหายสมัยเด็กกลายเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันในที่สุด แม้ว่าพวกเขาทั้งสองจักมิเข้าใจบางอย่างในตัวของอีกฝ่ายมากเท่าไรนัก แต่เช่นเดียวกับที่ถังกุนอักไม่ถามช็องมยองเรื่องการขอตำราโบราณจากตระกูลมาฝึกกำลังภายใน เขาก็ไม่คิดถามเจ้าตัวเรื่องทางเลือกศึกษายาพิษมากกว่าวิชาแพทย์เช่นกัน
และเพราะเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เยาว์วัยนี่แหละ ช็องมยองจึงรู้ว่าถังกุนอักนั้นไม่มีความทรงจำอันใดเกี่ยวกับชาติอดีตเลย คราแรกนึกว่าแค่มิได้กล่าวถึงเรื่องอดีตเพราะเกรงว่าตัวเขาเองจักจำไม่ได้หากเอ่ยไปเสียอีก แต่พอช็องมยองลองทดสอบพูดเรื่องที่ทั้งสองเคยทำด้วยกันในชีวิตก่อน อีกฝ่ายก็ดูมิเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด จนแน่ใจได้ว่าถังกุนอักไม่มีความทรงจำจากอดีตจริงๆ
ตระกูลถังนั้นขึ้นชื่อด้านการแพทย์ก็จริง ทว่าช็องมยองหาใช่คนที่สนใจศึกษาเรื่องยาสารพัดอย่างไม่ ตราบใดที่ถังกุนอักยังคงอยู่ข้างกายเขา การเรียนรู้เรื่องยาด้วยตนเองจึงเป็นสิ่งมิจำเป็นเท่าใดนัก หากเห็นคนเจ็บข้างทางก็ดันตัวพี่น้องร่วมสาบานคนนี้ให้ไปช่วยแทนเสีย จักไปยากอันใดเล่า
เพราะมิได้ศึกษาวิชาใดนอกจากการฝึกกำลังภายใน เวลาว่างของเขาในแต่ละวันจึงค่อนข้างมีเยอะพอสมควร หากมิได้นั่งอยู่ในเรือนของทายาทคอยจัดการเอกสารให้ตระกูล ก็ออกมาเดินเล่นหาสุราดื่มในโรงเตี๊ยมไปเรื่อย หรือไม่ก็ไปจ่ายตลาดกับบ่าวรับใช้นั่นแล ตกเย็นมาก็ไปพบถังกุนอักในหอตำรา เดินไปทานอาหารเย็นที่เรือนด้วยกันเสียจากนั้นค่อยแยกย้ายกันไปนอน
วันๆ ของช็องมยองก็ดำเนินไปอย่างสงบสุขเช่นนี้แล มิมีกองทัพมารมาบุก มิมีภัยพิบัติมาเยือนอย่างที่คิดไว้ มีเพียงคิดว่าจักออกไปทำสิ่งใดดีในแต่ละวันเท่านั้น
ทว่า… หลายวันที่ผ่านมานี้ทำช็องมยองหัวหมุนไม่น้อยเลยทีเดียว
เขาแทบมิมีเวลาพักเลยในแต่ละวัน ด้วยกองเอกสารเท่าภูเขาที่ทยอยเข้ามาวางบนโต๊ะกองแล้วกองเล่า เล่นเอาได้พักผ่อนอีกทีก็ตกเย็นนู่น พอไปถามบ่าวคนสนิทว่าเหตุใดเอกสารของตระกูลถึงถูกส่งมาให้ช็องมยอง — ที่เดิมทีไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูล — มาจัดการเช่นนี้ มิกลัวว่าคนนอกจักทำงานให้ผิดพลาดหรือไร หญิงชราหรือบ่าวคนนั้นก็กลั้วหัวเราะออกมา กล่าวตอบว่า “คุณชายจักเอ่ยว่าตนเองเป็นคนนอกตระกูลได้อย่างไร ในเมื่อคุณชายก็คอยตรวจเอกสารให้ตระกูลมาตั้งสามปีแล้ว อีกทั้งเอกสารที่คุณชายเป็นคนตรวจให้เองยังมิเคยมีข้อผิดพลาดอันใดด้วยเพคะ”
“…ก็ถูกของเจ้า” ช็องมยองถอนหายใจก่อนจักถามต่อว่า “แล้วเหตุผลที่อยู่ๆ ก็ส่งเอกสารมากมายให้ข้าเป็นคนจัดการเล่า ปกติแล้วจักมีแค่สองสามกองเองมิใช่หรือ”
“เรื่องนั้น— คงเป็นเพราะผู้อาวุโสในตระกูลล้วนต่างยุ่งกับการเตรียมตัวออกเดินทางไปยัง/ซีอาน/เพคะ”
“ซีอานหรือ ที่ซีอานมีสิ่งใดกัน”
นานแล้วที่ช็องมยองมิได้ยินนามของเมืองนี้ หรือความจริงแล้วเขาไม่เคยนึกถึงเลยต่างหาก แม้สถานที่นั้นจักเคยเป็นถิ่นของสำนักคู่อริก็ตาม
เขามัวแต่ยุ่งอยู่กับซื่อชวนจนลืมคำว่าส่านซีหรือคำว่าซีอานไปแล้ว มิคิดว่าจักได้ยินนามนี้อีกครั้งในสถานการณ์วุ่นวายเช่นนี้
จะว่าไปช็องมยองคลับคล้ายคลับคราว่าจักได้ยินคำว่าซีอานออกมาจากปากของถังกุนอักบ่อยครั้งในช่วงนี้อยู่เหมือนกัน แต่จำมิได้ว่าครานั้นอีกฝ่ายกล่าวอันใดไว้บ้าง จำได้แค่ว่าถังกุนอักจับคอเสื้ออาภรณ์เขาแล้วโยนเขาออกไปนอกหน้าต่างห้องประชุมท่ามกลางสายตาของเหล่าผู้อาวุโสเท่านั้น
เป็นดั่งพี่น้องร่วมสาบานกันแท้ๆ แต่กลับทำร้ายกันได้ลงคอ แค่เหม่อจากการจัดการเอกสารจนลืมฟังประชุมเอง จำเป็นต้องโยนสหายวัยเด็กออกนอกหน้าต่างขนาดนี้เลยหรือ
หญิงชราเอียงศีรษะเล็กน้อยกับคำถามของช็องมยอง “คุณชายมิรู้หรือ ข้านึกว่าคุณชายรู้เรื่องราวทุกอย่างจากประชุมตระกูลเมื่อวันก่อนแล้วเสียอีก” เธอนำผ้าไปชุบน้ำล้างครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า “เวลานี้ซีอานกำลังตกที่นั่งลำบากเพคะ ได้ยินข่าวลือมาว่าเป็นเพราะโรคระบาดที่เพิ่งถูกค้นพบในเมืองเมื่อสองเดือนก่อนเริ่มแผ่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้เองจึงมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากเพคะ”
ได้ยินดังนั้น ความทรงจำในที่ประชุมวันนั้นก็ช็องมยองก็เริ่มกลับมาทีละเล็กทีละน้อย สองคิ้วขมวดเข้าหากันขณะที่ฟังบ่าวรับใช้อธิบายสถานการณ์ตึงเครียดในซีอานไปด้วย
“มีคนจำนวนไม่น้อยที่เลือกอพยพออกจากซีอานมาหลบภัยที่เมืองอื่น ซึ่งเมืองซื่อชวนเองก็เป็นหนึ่งในเมืองที่ผู้คนเลือกอพยพมาเพคะ โดยตระกูลถังเมื่อได้ทราบข่าวนี้ก็ตัดสินใจส่งกำลังคนไปตรวจสอบเหล่าผู้คนที่อพยพมาจากเมืองซีอานในทันที ซึ่งกำลังคนที่ส่งไปนั้นก็มิได้กลับมาเป็นเวลาถึงยี่สิบวันด้วยกัน พบอีกทีจึงได้รู้ว่าเสียชีวิตพร้อมกับกลุ่มคนจากซีอานไปแล้วเพคะ”
‘ไปตรวจคนจากซีอานแล้วเสียชีวิตภายในยี่สิบวันอย่างนั้นหรือ หากมีศพจากคนที่ซีอานด้วยเช่นนั้นหมายความว่าเสียชีวิตเพราะติดเชื้อหรือไม่…’ ช็องมยองส่ายศีรษะให้กับความคิดนั้นของตน ไปถามถังกุนอักเอาดีกว่าอย่าได้คิดอันใดเองเลย ประเดี๋ยวก็มามีเรื่องให้ปวดหัวอีกเปล่าๆ แค่กองเอกสารบนโต๊ะก็เกินต้านแล้ว
พักหนึ่งบ่าวคนนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “ข้าได้ยินมาว่าตระกูลใหญ่อย่างตระกูลจินแห่งซีอานเองก็อพยพมาอยู่ที่ซื่อชวนเป็นการชั่วคราวด้วยเพคะ ทว่าเวลานี้ถูกเจ้าเมืองสั่งให้เก็บตัวอยู่แต่ในเรือนแขกที่เตรียมไว้ให้ก่อน ตระกูลถังก็ได้รับหน้าที่ให้ไปเฝ้าตรวจสอบอาการของพวกเขาเป็นระยะเช่นกัน”
“ตระกูลจินหรือ” คิ้วของเขาเลิกขึ้นด้วยความสนใจเมื่อได้ยินนามนั้น มิใช่ว่าเป็นเพราะรู้จักกับตระกูลจินเป็นการส่วนตัวอันใดหรอก ทว่าเพราะรู้สึกคุ้นแปลกๆ ต่างหาก เหมือนว่าจักเคยรู้จักกับคนในตระกูลที่ว่านี้ด้วยกระมั้ง เขาจำมิค่อยได้นัก
“เพคะ เป็นหนึ่งในสามตระกูลยิ่งใหญ่แห่งซีอาน” หญิงชราเล่าต่อด้วยความใจเย็น “ตระกูลจินเป็นตระกูลที่ช่วยประคับประคองให้ซีอานมีเศรษฐกิจที่ดีในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เพคะ ทางตระกูลนั้นขึ้นชื่อเรื่องปัญญาและอำนาจเป็นอย่างมาก ทายาททั้งสามของตระกูลเองก็ไม่น้อยหน้าบุพการีเช่นกัน ถึงแม้คนเล็กจักด้อยเรื่องการทำธุรกิจครอบครัวเสียหน่อยก็เถิด”
ช็องมยองพยักหน้าหงึกหงักกับข้อมูลนั้น แม้มิได้เกี่ยวอันใดกับสถานการณ์ในซีอานทว่าเรื่องราวจำพวกครอบครัวเก่งกันหมดยกเว้นลูกคนเล็กนี่ กลับทำให้เขานึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาเสียอย่างนั้น เจ้าตัวเองก็มีแซ่ชื่อจินเช่นกัน หากจำมิผิดนามเต็มของอีกฝ่ายน่าจะเป็น…
“มิรู้ว่าข้อด้อยนี้เป็นสาเหตุที่ตระกูลจินตัดสินใจนำทายาทออกเมืองมาด้วยเพียงแค่สองคนทิ้งคนเล็กไว้ในซีอานต่อไปหรือไม่ ทว่าหากเป็นเช่นนั้นจริงข้าคงรู้สึกเคืองแทนทายาทคนเล็กมิน้อยเลยเพคะ จินดงรยงเองก็ยังเล็กแท้ๆ กลับต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าไร้บิดามารดาในเมืองเต็มไปด้วยโรคระบาดเสียอย่างนั้น”
/จินดงรยง/
ใช่ จินดงรยงนี่แหละคือนามเต็มของคนผู้นั้น คือนามเดิมของแพกชอนหรือศิษย์พี่ใหญ่ของช็องมยอง ครั้นยังถือสมญานามมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งฮวาซานอยู่นั่นเอง
พอได้ยินว่าทายาทคนเล็กถูกทิ้งไว้ยังเมืองซีอานต่อไป คิ้วของเขายิ่งขมวดเข้าหากันแน่นขึ้นไปอีก มิรอช้าช็องมยองรีบนั่งลงข้างกายของบ่าวรับใช้จากนั้นจึงคว้าผ้าซึ่งพาดคาไว้บนถังตักน้ำมาเช็ดทำความสะอาดไปกับนางในทันที
ต่างจากสีหน้ามึนงงของหญิงชรา ช็องมยองส่งยิ้มกว้างให้เธอแล้วกล่าวว่า
“ไหนเจ้าลองเล่าเรื่องของซีอานให้ข้าฟังอีกหน่อยสิ หากมีเรื่องของตระกูลจินเยอะๆ ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่”
ด้วยเหตุนี้เองเขาถึงได้อยู่ช่วยงานของบ่าวรับใช้คนนั้นจนดึกดื่น กว่าจักได้เดินกลับมายังเรือนของทายาทเพื่อมาพบกับถังกุนอักเป็นการส่วนตัว เสียงตีกลองใหญ่แทนสัญญาณของการดับไฟ*ก็ดังสนั่นขึ้นพอดี
(*การดับไฟ หรือก็อีกความหมายคือการห้ามไม่ให้ผู้คนออกบ้านในเวลาที่กำหนดนั่นแหละค่ะ)
มือเอื้อมขึ้นมาเคาะไปยังประตูเรือนถึงสามครั้งด้วยกัน ก่อนช็องมยองจักเลื่อนมันเปิดออกแล้วก้าวเข้ามาอย่างมิรอคำอนุญาตใดๆ จากเจ้าของห้องก่อนทั้งสิ้น ซึ่งคนเป็นเจ้าห้องอย่างถังกุนอักเองก็มิได้ว่าอันใดเช่นกัน เนื่องจากเคยชินกับพฤติกรรมนี้ของพี่น้องร่วมสาบานของตนแล้ว
กลับกันเขากล่าวโดยมิเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารในมือแทนว่า “กลับมาแล้วหรือ ออกไปพักผ่อนอันใดกลับมาเสียดึกเชียว”
ดวงตาคล้ายดอกเหมยมองเอกสารในมือของถังกุนอักพักหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยตอบไปว่า “นี่เจ้าจัดการเอกสารให้แทนตอนข้าไม่อยู่งั้นหรือ ข้าซาบซึ้งน้ำใจเป็นอย่างยิ่ง”
“หากซาบซึ้งน้ำใจจริง เจ้าคงมิมาหาข้าถึงในเรือนเช่นนี้ กลับกันเจ้าคงเดินกลับเรือนตนเองไปนอนนานแล้ว” กล่าวจบอีกฝ่ายถึงจักวางแผ่นกระดาษนั้นลงแล้วหันมามองช็องมยอง “มีกิจธุระอันใดก็ว่ามา”
“ข้าจักเข้าร่วมกับหน่วยทีมแพทย์ไปตรวจสอบโรคระบาดที่ซีอาน”
“มิตั้งใจฟังขนาดนั้นแต่ก็ยังจับประเด็นสำคัญได้อยู่อีกหรือ ช่างน่าแปลกใจยิ่งนัก”
“ถังกุนอัก นับวันเจ้ายิ่งทำตัวไม่สมกับเป็นทายาทเยอะขึ้นนะนี่”
“…เป็นเพราะผู้ใดกันเล่า”
หลังจบบทสนทนาอันไร้สาระนี้ไปแล้ว ถังกุนอักก็ถอนหายใจออกมาจากนั้นจึงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ย่อมให้เจ้าไปด้วยมิได้อยู่แล้ว”
เพราะคาดเดาคำตอบนี้จากปากของเขาไว้แล้ว ช็องมยองจึงมิได้เอ่ยขอร้องต่อแต่อย่างใด ทว่าเลือกที่จักเปลี่ยนคำพูดของเขาแทน “ทีมแพทย์ต้องการตัวของข้า”
“สิ่งใดทำให้เจ้ามั่นใจเช่นนั้นกัน”
“ตัวข้าเองอย่างไรเล่า”
ได้ยินดังนั้นเสียงถอนหายใจจากถังกุนอักก็ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เอาจนเส้นเลือดบนหน้าผากของช็องมยองเริ่มปูดออกมาด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าไว้เหมือนเดิม เวลาโน้มน้าวใจใครสักคนหนึ่งต้องใจเย็นเข้าไว้ ศิษย์พี่เจ้าสำนักเคยสอนเจ้าไว้ว่าหากอยากให้คนทำตามที่ต้องการ ก็ต้องหยุดอารมณ์ร้อนของตนให้ได้แล้วทุกอย่างจักออกมาด้วยดีเอง
ด้วยเหตุนี้เองช็องมยองจึงยืนพิงกำแพงรอคำตอบจากถังกุนอักอยู่อย่างนั้น ใช้เวลาเรียบเรียงคำอยู่พักหนึ่งฝ่ายหลังก็พูดขึ้นมาว่า “เจ้าจำได้หรือไม่ว่าสถานการณ์ในซีอานเวลานี้เป็นเช่นไร จากการประชุมครั้งล่าสุดวันนั้น”
เพียงแค่คำว่า / ‘สถานการณ์ในซีอาน’ / หลุดมาจากปากของเขา สีหน้าเอื่อยเชื่อยของช็องมยองพลันเปลี่ยนเป็นจริงจังราวกับคนละคนในทันใด “แน่นอนอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นเจ้าคงทราบดีว่าการไปครั้งนี้มิใช่แค่ไปตรวจสอบโรคระบาดอย่างเดียว แต่เป็นการนำความรู้มาใช้อย่างถึงที่สุดเพื่อรักษาคนในเมืองด้วย” ถังกุนอักใช้มือยันโต๊ะพยุงตนเองให้ลุกขึ้นมา ดวงตาของเขาบัดนี้หลงเหลือแต่ความเย็นเหยียบอยู่ในนั้น ทำเอาช็องมยองหลงลืมไปว่าคนตรงหน้านี้ — เป็นพี่น้องร่วมสาบานของเขามิใช่ราชันแห่งพิษทั้งปวงอีกต่อไป — ไปชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียว
“มิใช่การเดินทางไปเที่ยวเล่นอย่างที่เจ้าชื่นชอบ ทว่าเป็นการเดินทางไปเมืองที่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูง มิใช่สถานที่ที่เจ้าจักยอมแพ้เมื่อไรก็ได้ยามรู้สึกว่าตนเองทนไม่ไหว ทว่าต้องฝืนใจก้าวข้ามขีดจำกัดเพื่อชีวิตของคน มิใช่ทิวทัศน์ในวสันตฤดูที่เจ้าเฝ้าคอยดอกเหมยเบ่งบานเสมอ ทว่าเป็นภาพของศพผู้คนล้มตายจำนวนมาก เจ้า— ผู้ที่มิเคยสัมผัสกับโศกนาฏกรรมเช่นนี้มาก่อน จักทนได้หรือ”
‘การย้อนชะตาสู่ชาติก่อนนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างร้ายแรง ผู้ใดฝ่าฝืนต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมถึงสี่ชาติภพด้วยกัน’
“แน่ใจหรือว่าต้องการเดินทางไปยังซีอานที่แสนห่างไกล แทนที่จักนั่งจัดการเอกสารอยู่ในเรือนของทายาทตระกูล ไร้ซึ่งภาระหนักอยู่บนไหล่ ไร้ซึ่งความลำบากในชีวิตประจำวัน— เจ้าแน่ใจแล้วหรือ”
‘ทว่าการยอมรับกฎของสวรรค์ในการเขียนชะตาขึ้นมาเองใหม่จักทำให้เจ้าได้กลับไปใช้ชีวิตดั่งคนปกติอีกครั้งหนึ่ง’
ดวงตาของช็องมยองกะพริบปิดลง เสียงหัวเราะแผ่วเบาถูกแค่นออกมาจากในลำคอกับถ้อยคำเหล่านั้นของถังกุนอัก
ถึงแม้คำพูดของอีกฝ่ายกับคำพูดของเธอจักมิเหมือนกันเสียทีเดียว ทว่าสิ่งที่ทั้งสองคนพยายามสื่อมาถึงเขาคือสิ่งเดียวกัน
/แน่ใจหรือว่าต้องการเลือกหนทางที่เป็นภัยต่อตัวเจ้าเอง มากกว่าเส้นทางที่เดินสบายกว่าหลายเท่า/
ซึ่งไม่ว่าจักเป็นเขาหรือเธอเป็นคนกล่าวถามมาเช่นนี้ คำตอบของช็องมยองก็ยังคงเป็นคำเดิมมิเปลี่ยนแปลง
“ข้าแน่ใจ”
จักคิดแค้นเทพแห่งชะตาผู้นั้นก็คิดแค้นได้มิสุดเพราะเดิมทีก็เป็นเขาเองที่ขอทำข้อตกลงนี้แต่แรก ทว่าถึงอย่างไรในสัญญาก็ควรมีรายละเอียดบอกกล่าวให้ครบมิใช่หรืออย่างไรกัน
สิ่งนี้ทำช็องมยองเคียดแค้นในตัวของเธอมากที่สุด เพราะมิยอมบอกก่อนว่าจักมีคนในอดีตมาร่วมชะตากับเขาด้วยนี่แล
ครานี้ก็โผล่มาสองคนแล้ว… ซ้ำอีกคนหนึ่งยังถูกทอดทิ้งไว้ในเมืองเต็มไปด้วยโรคระบาดอีก หากไม่เลือกที่จักไปหาเวลานี้คงมิมีโอกาสได้พบกันอีกแล้วเป็นแน่ จักร่ำไห้ต่อหน้ากำแพงสวรรค์อย่างไรก็คงมิสามารถนำเอาโอกาสครั้งที่สามนี้กลับมาได้แล้ว
เขาจักไม่ทอดทิ้งผู้ใดเด็ดขาด โดยเฉพาะกับผู้คนที่เดิมทีมิมีความเกี่ยวข้องอันใดกับชะตาชีวิตของช็องมยองแต่แรก
ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านวางใจเถิด ข้าสัญญาว่าอย่างไรก็จักไม่ปล่อยมือของท่านเป็นอันขาด
ไม่ปล่อย จนกว่านรกจักพรากตัวของข้าไปอีกครา
——
‘แม้อาหารมื้อแรกที่ได้ทานร่วมกันจักเป็นมื้อที่แย่ที่สุดในความคิดของเขา ทว่าสำหรับข้าแล้ว กลับมองว่าเป็นมื้อที่ดีที่สุดมื้อหนึ่ง ถึงอาหารจักไหม้เกรียมไปในบางส่วน เครื่องปรุงมิมีความพอดีไปบ้าง แต่เพราะคนสำคัญอย่างเขาตั้งใจทำให้ มื้อแรกนี้จึงสำคัญไม่น้อยไปกว่าตัวเขาเลย’
——
[ 一 :中上 ]
ในท้ายที่สุด ช็องมยองก็ได้มานั่งบนรถม้ารอออกเดินทางไปซีอานจนได้ หลังจากใช้เวลาหมัดมวยด้วยคำพูดกับคนในตระกูลถังมานานกว่าสามวันเห็นจักได้
แท้จริงเพียงขอคำอนุญาตจากถังกุนอักเดินทางไปยังซีอานมิใช่เรื่องยากอันใดหรอก ที่ยากคือคำอนุญาตจากปากของผู้อาวุโสในตระกูลต่างหาก โดยเฉพาะคำอนุญาตจากนักปราชญ์เก่งกาจด้านดาราศาสตร์คนนั้น คนผู้นี้สำคัญสุด หากกล่าวคำไหนออกมา คำนั้นจักเป็นที่สิ้นสุด มิมีโน้มน้าวใจอันใดอีก เนื่องจากดวงชะตาที่เอ่ยออกมานั้นเป็นสิ่งที่สวรรค์กำหนดมาไว้ให้อยู่แล้ว
หรือก็คือสิ่งที่นักปราชญ์ผู้นั้นเชื่อว่าเป็นคำสั่งของสวรรค์นั่นแล ทว่าช็องมยองคือผู้ใด กลัวเรื่องคำสั่งของสวรรค์เป็นเสียที่ไหน อย่างไรเขาก็โดนลงโทษเพราะฝ่าฝืนกฏของสวรรค์มาแล้วนี่ ยังมีสิ่งใดต้องหวั่นอีกหรือ
ด้วยเหตุนี้เอง นักปราชญ์เก่งดาราศาสตร์ผู้นั้นจึงได้นอนติดเตียงเพราะมีอาการไข้ขึ้นสูงในวันต่อมา ในขณะที่หน่วยแพทย์กำลังเป็นกังวลกับอาการของนักทำนายดวงชะตาคนนี้อยู่นั้น ช็องมยองกำลังนั่งส่งยิ้มเยี่ยงเด็กน้อยไร้เดียงสาให้ถังกุนอักอยู่
ทว่าคล้ายว่าจักมิได้ผลเท่าใดนักเพราะฝ่ายหลังเอาแต่เอ่ยปากบ่นไม่หยุดเลย ทั้งยังมิเชื่อว่าที่นักปราชญ์ล้มป่วยมิใช่ความผิดของเขาอีกด้วย
ก็จริงหรือไม่เล่า ถ้าหากนักทำนายผู้นั้นมิยอมเรียกช็องมยองไปคุยส่วนตัว — เรื่องเส้นด้ายดวงชะตาจักขาดเอาเมื่อเดินทางไปยังซีอานอันใดนั่น — ก่อนแต่แรก เขาคงไม่คิดพาเจ้าตัวไปเป็นผู้ช่วยฝึกกำลังภายในแต่แรกแล้ว
ว่าแต่เหตุใดเด็กสมัยนี้ร่างกายถึงได้อ่อนแอนักเล่า นั่งตากหยาดน้ำจากน้ำตกเพียงไม่กี่ชั่วยามก็เจ็บไข้ได้ป่วยไปเสียแล้ว อ่อนแอเสียไม่มี มิเห็นแข็งแรงเหมือนชาติอดีตในวันวานตรงไหนเลย
ทว่าเพราะเห็นว่านักปราชญ์หวังดี มาเอ่ยนิมิตที่ตนเห็นให้ช็องมยองได้ฟังพร้อมทั้งให้โอกาสตัดสินใจเลือกก่อนการประชุมจักเริ่มขึ้นหนึ่งวันหรอก เขาจึงพาตากน้ำตกเพียงหกชั่วยามเท่านั้น
หลายคนที่ได้ฟังอาจถามว่า หากอีกฝ่ายมาบอกเรื่องนิมิตกับช็องมยองเช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าหวังดีต้องการให้ตัดสินใจทางเลือกด้วยตัวเอง ทั้งยังพร้อมรับฟังเหตุผลอีกด้วยมิใช่หรือ ใยต้องนำเจ้าตัวไปลำบากเจ็บไข้ได้ป่วยกลับมาอีกเล่า
คำตอบนั้นช่างง่ายดาย... ก็เพราะเขาต้องการตัดไฟหลักตั้งแต่ต้นลมอย่างไรเล่า
ในการตัดสินใจทำบางสิ่งในแต่ละครั้งของตระกูลใหญ่ สำนัก หรือแม้กระทั่งในวังหลวงเอง ก็ต้องพึ่งผู้มีประสบการณ์มีปัญญาให้เป็นที่ปรึกษาประกอบการตัดสินใจในครั้งนั้นทั้งสิ้น ผู้มีอำนาจสูงสุดในสถานที่แห่งนั้นจักว่าอย่างไรก็ต้องฟังความเห็นของที่ปรึกษาก่อนเป็นอย่างแรก ถกกันได้ความว่าอย่างไร ผลลัพธ์ก็เป็นอย่างนั้นตามไป
ซึ่งนักปราชญ์เก่งดาราศาสตร์ทำนายดวงชะตาผู้นี้เองก็เป็นหนึ่งในที่ปรึกษาครองอำนาจสูงสุดของตระกูลเช่นกัน และด้วยความที่มีเรื่องดวงชะตาเข้ามาเกี่ยว การทำนายของเขายิ่งเป็นที่ต้องการในการตัดสินใจเรื่องของช็องมยองเข้าไปใหญ่ ต้องเป็นบุรุษคนนี้ที่เอ่ยคำขาดเรื่องของเด็กนี่เท่านั้น หากมิใช่คนผู้นี้ คงไม่มีนักปราชญ์คนไหนน่าเชื่อถือเท่าเขาแล้ว
และหากผู้อาวุโสต้องการแสดงความเห็นต่างต่อทางเลือกของช็องมยองจริงๆ เพราะมองว่าเส้นทางข้างหน้าดูอันตรายเกินกว่าตระกูลจักรับไหว พวกเขาก็สามารถโน้มน้าวใจนักปราชญ์คนนี้ได้เสมอ ทั้งยังสามารถทำให้คำตัดสินเป็นที่สิ้นสุดนั้นเป็นไปตามความต้องการของพวกเขาได้อีกด้วย แม้คราแรกทางนักปราชญ์จักเลือกเข้าข้างฝ่ายช็องมยองก็ตาม
หากมิใช่เพราะเหตุผลดังนี้ เขาคงไม่มีความคิดพานักทำนายใจดีผู้นี้ไปตากน้ำจนล้มป่วยให้พี่น้องร่วมสาบานมาบ่นจนหูชาเช่นนี้หรอก
จักว่าไป ฝั่งถังกุนอักเองก็ทำช็องมยองลำบากอยู่พอสมควร หลังจากยืนยันความแน่ใจในการเดินทางไปยังซีอานแล้ว อีกฝ่ายก็ใช่ว่าจักตอบตกลงในทันทีอีกต่างหากกลับกันเขาเอ่ยถามต่อว่า “แล้วหากเจ้าไปกับพวกข้า เจ้ามีประโยชน์อันใดด้วยหรือ การแพทย์ก็มิได้เรียน เอาแต่ฝึกกำลังภายใน นำไปใช้รักษาอาการป่วยสู้โรคระบาดได้หรือ”
“ข้าบอกไปแล้วว่าหน่วยทีมแพทย์ต้องการตัวข้าเข้าร่วมการเดินทางเป็นแน่ เจ้ามิเชื่อข้าหรือ” ช็องมยองยกมือขึ้นมาลูบคางตนเองครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจักเอ่ยถามว่า “เจ้ายังมียาพิษนามว่า/ควันเขม่าแห่งความสุขสม/เก็บไว้ในคลังโบราณของตระกูลหรือไม่”
ได้ยินชื่อนั้น คิ้วทั้งสองข้างของถังกุนอ้กพลันขมวดเข้าหากันแน่นในทันใด
ยาพิษควันเขม่าแห่งความสุขสมที่ช็องมยองกล่าวถึงอยู่นี้ ตามตำราหนังสือแล้วกล่าวไว้ว่าคือยาพิษที่มีความอันตรายเป็นอย่างมากจนถึงขั้นเสียชีวิตในทันทีได้เลยหากสัมผัส
เมื่อโดนควันสีครามเข้าไปแล้ว ร่างกายจักละลายกลายเป็นเศษก้อนเนื้อไร้รูปร่างหน้าตา ขณะยาพิษกำลังละลาย ร่างกายเองก็จักรู้สึกเจ็บปวดเจียนตายเช่นกัน
เนื่องจากมิค่อยมีผู้ใดต้องการทดสอบกับยาพิษชนิดนี้บ่อยนัก ตระกูลถังจึงไม่มียาถอนพิษมาจนถึงทุกวันนี้
ทว่า… คนตรงหน้าเขากลับเอ่ยขอมันออกมาราวกับกำลังพูดคุยเรื่องดินฟ้าอากาศอยู่เสียอย่างนั้น ครั้นเมื่อจักกล่าวถามว่าเอาไปทำอันใด ช็องมยองก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อนว่า “มิกล่าวอันใดเช่นนี้แสดงว่าเจ้ามีล่ะสิ เจ้าไปเอามาเสีย พอได้มาแล้วก็มาพบกับข้าที่ลานฝึกเก่าของตระกูล ข้าไปละ รอเจ้าก่อน”
ว่าแล้วเขาก็หันหลังเลื่อนประตูเรือนเปิดแล้วเดินออกไปในค่ำคืนทันที ทิ้งถังกุนอักให้ทวนความจำตนเอง เดินตามหาคลังเก็บยาพิษโบราณของตระกูลคนเดียวทั้งอย่างนั้น พอได้ยาพิษควันเขม่าแห่งความสุขสมมาอย่างที่ช็องมยองต้องการแล้ว ก็เดินขึ้นบันไดออกจากคลังเก็บของโบราณประจำตระกูล ตรงไปยังลานฝึกมิได้ใช้ของตระกูลด้วยฝีเท้ามิช้าเร็วนัก จากนั้นจึงยื่นขวดยาพิษให้คนที่ยืนอยู่ตรงกลางของลานฝึกเก่าเมื่อพบตัวเรียบร้อยแล้ว
ช็องมยองรับยาพิษนั้นมาก่อนจักปัดมือให้ถังกุนอักเดินถอยหลังหลบไปประมาณสิบจั้งแล้วค่อยทำมือให้อีกฝ่ายยืนหยุดอยู่ตรงนั้น แม้ถังกุนอักมิรู้ก็ตามว่าพี่น้องร่วมสาบานคนนี้ต้องการทำอันใดกันแน่ ทว่าลางสังหรณ์ในใจของเขากำลังร้องว่าตนจักไม่เสียใจที่แอบนำยาพิษเก่าแก่ของตระกูลออกมาให้อย่างแน่นอน
แต่เหนือกว่านั้นคือถังกุนอักอดรู้สึกเป็นกังวลมิได้เลย หากว่าช็องมยองเป็นอันใดไปเพราะเขาตกลงนำยาพิษมาให้อีกฝ่ายเล่า เช่นนั้นจักทำเช่นไรดี หากว่าหลังจากนี้ต้องเสียใจกับตัวเลือกครั้งนี้ตลอดกาลเช่นนั้นจักทำเช่นไรดี
ทว่าคิดก็ได้แต่คิดเท่านั้น ท้ายที่สุดถังกุนอักก็มิคิดจักเอ่ยความกังวลของตนออกไป
เพราะเขาเชื่อในตัวของช็องมยองอย่างสุดใจอย่างไรเล่า
“เจ้าดูข้าให้ดี ดูแล้วยอมรับเสียว่าข้าเป็นที่ต้องการของหน่วยแพทย์จริงๆ”
คือถ้อยคำสุดท้ายก่อนขวดยาพิษในมือของช็องมยองจักถูกขว้างลงกับพื้นลานฝึก เสียงกระแทกแตกของแก้วดังขึ้นพร้อมควันเขม่าสีครามซึ่งพุ่งพรวดออกมาด้วยความเร็วสูง ครอบคลุมไปทั่วบริเวณมิหลงเหลือให้เห็นแม้กระทั่งภาพเงาของมนุษย์ เสียงหวีดแหลมจากการละลายดังขึ้นเป็นระยะ
ถึงกระนั้นถังกุนอักก็ยังมิยอมขยับลำตัวของตนวิ่งเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เขายังคงยืนมองทุกสิ่งเกิดขึ้นอยู่ตรงที่ที่พี่น้องร่วมสาบานบอกให้ยืนเช่นเดิมไม่ไปไหน
ยามเมื่อสีครามของควันค่อยๆ เลือนหายไปผสมผสานกับท้องนภาในค่ำคืนแล้ว ร่างของช็องมยองก็ได้ปรากฎขึ้นต่อหน้าเขา
เจ้าตัวยังคงยืนบิดขี้เกียจอยู่บนลานฝึกเช่นเดิม มีอวัยวะครบสามสิบสองเช่นเดิม มีเพียงแค่อาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์พาดลายสีดอกเหมยอ่อนเท่านั้นที่เปรอะเปื้อนเขม่าสีครามมาบ้าง ส่วนพื้นกระเบื้องของลานฝึกที่ยืนอยู่นั้น กลับถูกละลายหายไปจนหมด มีเพียงผืนดินว่างเปล่าเท่านั้นที่ยังหลงเหลืออยู่ตรงนั้น
“การขับไล่มิให้สิ่งแปลกปลอมเข้ามาปั่นป่วนในร่างกายก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้ฝึกกำลังภายในทำได้เช่นกัน มิว่าจักเป็นเชื้อหรือยาพิษ ก็สามารถใช้ปราณในร่างกายขับไล่ออกไปได้ทั้งหมด” หลังยืดเส้นยืดสายจนพอใจแล้ว ช็องมยองก็อธิบายไปพลางเดินไปหาถังกุนอักพลาง “จักขับไล่ได้ดีหรือไม่ดี ล้วนขึ้นอยู่กับกำลังที่มีอยู่ภายในของแต่ละคนทั้งนั้น— เชื้อของโรคระบาดเองก็เหมือนกับยาพิษ แม้เชื้อจักรุนแรงเท่ายาพิษควันเขม่าแห่งความสุขสมก็จริง ทว่าหากเจอกำลังภายในรอขับไล่อยู่มหาศาล อย่างไรก็เป็นต้องสลายหายไปกับลมเหมือนยาพิษชนิดนี้เช่นกัน”
หรือให้สรุปออกมาฉบับเข้าใจง่ายคือ หากยาพิษรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตนี้ทำอันใดกับตัวข้ามิได้ เชื้อโรคระบาดที่เกิดขึ้นในซีอานเองก็ทำอันใดข้ามิได้เช่นกัน เนื่องจากกำลังภายในที่มีนั้นแกร่งกล้าจนกระทั่งสิ่งเหล่านี้ยังมิกล้าลุกมาหือด้วย
เปลวไฟขนาดเล็กผุดขึ้นตรงปลายนิ้วของช็องมยองก่อนจักรามไปทั่วร่างกาย แผดเผาเขม่าติดอาภรณ์ให้หลุดร่วงออกไปให้หมด ถังกุนอักตะลึงเหม่อมองภาพนั้นครู่หนึ่ง เวลานี้ในใจเขาทั้งประทับใจทั้งทึ่งในความสามารถของผู้ฝึกวิชากำลังภายใน มิทันได้สังเกตเห็นช็องมยองฟุบนั่งลงไปกับลานฝึกด้วยความเหนื่อยแม้แต่น้อย
ฝ่ายหลังเองก็มิได้ถืออันใดเช่นกัน เขาปล่อยให้ถังกุนอักทำความเข้าใจกับถ้อยคำที่กล่าวไปเมื่อครู่พักหนึ่ง แล้วจึงกล่าวออกมาว่า “รู้อย่างนี้แล้ว จักให้ข้าเดินทางไปยังซีอานในถานะ/ตัวทดลอง/ของยารักษาโรคระบาดหรือไม่”
เมื่อดวงตาทั้งสองคู่เลื่อนสบเข้าหากัน คำตอบของคำถามข้างต้นพลันลอยเข้ามาในหัวของสองพี่น้องร่วมสาบานในทันใด
“หากเจ้าดื้ออยากไปนัก ข้าคงปฏิเสธได้ไม่ลงแล้ว ทว่าจำไว้ว่าหากเกิดสิ่งใดขึ้นมา ข้าจักส่งเจ้ากลับซื่อชวนไปทำงานกับกองเอกสารทันที เข้าใจหรือไม่”
ด้วยเหตุนี้เองปัญหาทางฝั่งของถังกุนอักก็ถูกแก้เป็นที่เรียบร้อย
มิใช่ว่าช็องมยองไม่รู้หรอกว่าที่อีกฝ่ายคอยถามย้ำๆ ขอความแน่ใจชัดเจนเช่นนี้ ล้วนเพราะเป็นห่วงในตัวของเขาทั้งสิ้น ซึ่งเรื่องนี้คงเป็นที่น่าซาบซึ้งใจไม่น้อยทีเดียว ถ้าหากว่าโรคระบาดที่ซีอานเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดาเท่านั้น — ใช้วิจัยอาการและหายารักษาเวลาเพียงไม่กี่เดือน หน่วยทีมแพทย์ก็สามารถเดินทางกลับมายังซื่อชวนได้แล้ว — ทว่าในเมื่อโรคระบาดนี้มิใช่ไข้หวัดธรรมดา อีกทั้งยังคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วนับร้อยกว่าคน ซ้ำยังมีเด็กที่ถูกทิ้งนามว่าจินดงรยงติดอยู่ในซีอานอีก คำพูดของถังกุนอักแม้จักหวังดีแค่ไหน ต่อหน้าช็องมยองมันก็ไม่มีความหมายวันยันค่ำ
ก็โรคระบาดนี้มันเกิดขึ้นเพราะตัวเขามิใช่หรืออย่างไรกันเล่า เพราะมีผู้ที่ถูกสวรรค์ลงโทษเพียงคนเดียว หมื่นพันชีวิตจึงต้องเสียไปอย่างไร้ความหมายในอนาคต มิใช่หน้าที่ของช็องมยองที่ต้องแก้แล้วจักเป็นหน้าที่ของผู้ใดอีก
นอกจากนั้น อุปสรรคตรงหน้าของเขาก็มีผู้อาวุโสที่ค้านมิให้ช็องมยองออกเดินทางไปด้วยและโน้มน้าวใจผู้นพลำตระกูลให้จงได้เท่านั้น เพราะมีถังกุนร่วมสนับสนุนเขาอยู่ด้านหลังจึงทำให้การระดมปัญญาสมองของพวกเขาเป็นไปได้อย่างราบรื่น เมื่อคิดคำพูดคำจาโน้มน้าวดีๆ แล้วก็นำไปถกกับผู้อาวุโสเหล่านั้นต่อ จนได้รับชัยชนะกลับมาในที่สุด
เมื่อกำจัดอุปสรรคได้หมดแล้ว ก็กลับมายังเวลาปัจจุบันที่ช็องมยองกำลังรอรถม้าออกเดินทางต่อ
ในขณะช็องมยองตรวจสัมภาระกองสุดท้ายในรถม้าอยู่นั้น ก็มีมือเอื้อมเข้ามาเลิกผ้าม่านหน้าต่างข้างรถม้าเปิด พร้อมเสียงของถังกุนอัก “ช็องมยองอ่า สัมภาระในรถม้าขาดสิ่งใดหรือไม่”
“เท่าที่ข้าดูก็เหมือนว่าจักมิมีสิ่งใดแล้ว” เขาตอบกลับไปโดยไม่หันไปมองอีกฝ่าย ดวงตาคล้ายดอกเหมยปัดกวาดอ่านแผ่นกระดาษในมือพลางเช็กกล่องสัมภาระด้วยความรวดเร็วครู่หนึ่ง ก่อนจักหมุนตัวไปตอบกลับว่า “ครบทุกอย่างแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” ถังกุนอักพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นจึงโยนบางสิ่งเข้ามาในรถม้า “สวมนี่เสีย”
ผ้าคลุมสีเขียวประจำตระกูลถังตกลงบนพื้นไม้หน้าช็องมยองอย่างพอดิบพอดี มือเรียวเอื้อมไปหยิบมันขึ้นมาจากพื้นแล้วลองสอดแขนสวมใส่ดูโดยไม่คิดถามถึงสาเหตุที่ต้องใส่ก่อนแม้แต่น้อย “หากสวมใส่ผ้าขงตระกูลถังแล้วจักมิมีผู้ใดมาทักข้าเวลาเดินเตร่ในเมืองซีอานจริงหรือ มิใช่ว่าเจ้าหลอกข้าไปให้หหารซีอานจับไปประหารเพราะทำผิดกฎหน้าตำหนักท่านเจ้าเมืองหรอกนา”
คนที่ยืนพิงข้างรถม้าพอได้ยินดังนั้นก็อดหัวเราะออกมากับคำพูดนั้นของเขามิได้ “ผู้ใดจักสามารถทำอันใดผู้ฝึกวิชากำลังภายในอย่างเจ้าได้บ้าง แค่คิดจักจับก็โดนกระแสจิตจากเจ้าพัดปลิวออกเมืองไปไกลถึงหมื่นลี้แล้วกระมั้ง—” สิ้นคำนั้น เขาก็กล่าวต่อว่า “—วางใจเถิด เมื่อไปถึงแล้วข้าจักขอใบรับรองจากท่านเจ้าเมืองนำมาให้เจ้า จากนั้นก็สามารถเดินไปทำกิจธุระของเจ้าได้ หากทหารเดินมาหาก็ยื่นใบจากท่านเจ้าเมืองให้ดูเสีย”
“แต่หากว่าพวกทหารยังคงดื้อด้านมิยอมให้ข้าเดิน ก็ให้หลบหนีเข้าบ้านผู้อื่นหลบการจับกุมใช่หรือไม่” ช็องมยองพ่นลมหายใจคล้ายหัวเราะออกมาเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาขบขันปนไม่พอใจส่งมาทางตน
ครู่หนึ่งก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้ระหว่างนั้นจึงถามไปว่า “จักว่าไปแล้ว ข้าได้ยินมาว่าทางตระกูลส่งคนไปสำรวจเหล่าคนที่อพยพมาจากซีอานแล้วเสียชีวิตกลับมาหมดงั้นหรือ เจ้าคิดอย่างไร ใช่เพราะโรคระบาดหรือไม่”
“ข้าไปดูสภาพศพมาแล้ว มิมีร่องรอยการฆาตกรรมใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งในบันทึกของพวกเขายังจดอาการของตนเองรวมกับอาการของฝั่งซีอานเอาไว้ด้วย หากมิใช่เพราะโรคระบาดก็คงหาสาเหตุอื่นมิได้แล้ว”
“อาการที่ว่ามีอันใดบ้าง พอบอกกล่าวให้ข้าฟังบ้างได้หรือไม่”
“อุณภูมิในร่างกายสูงจนผิดปกติ รู้สึกเจ็บคอราวกับขาดน้ำตลอดเวลาทว่าพอดื่มน้ำเข้าไปก็ราวกับมีลูกไฟตัดผ่านในคอ หายใจก็ติดขัดลำบากรู้สึกทรมานยิ่งกว่าสิ่งใด อาเจียนออกมาเกือบตลอดเวลา สูญเสียการได้กลิ่นและการต่อมการรับรสไป” ถังกุนอักเอ่ยตอบพลางยื่นหนังสือรายงานส่งเข้ามาให้ช็องมยอง “เจ้าสามารถอ่านรายละเอียดอื่นๆ ได้จากรายงานพวกนี้ ข้าว่าจักให้เจ้าอ่านภายหลังทว่าในเมื่อถามมาแล้วก็นำไปอ่านเลยแล้วกัน”
ช็องมยองรับหนังสือรายงานมาพลิกหน้ากระดาษอ่านด้วยความรวดเร็ว ในนี้มีทั้งรายงานของฝั่งตระกูลถังเองและฝั่งแพทย์ในเมืองซีอานสรุปมาให้ ยิ่งกวาดสายตาอ่านลึกขึ้นเท่าไร คิ้วของเขาก็ยิ่งขมวดด้วยความไม่พอใจขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็เป็นต้องจิปากอย่างคนหัวเสีย “อาการของแต่ละคนย่ำแย่จริงๆ เช่นนี้คงใช้เวลาในซีอานหายารักษาหลายเดือนแน่”
“อยากเลิกแล้วงั้นหรือ เจ้าเลิกตอนนี้ยังทันนะ”
“ไม่หรอก อย่างที่ข้าบอกเจ้าไว้ในตอนทำสัญญากันว่าข้าต้องไปหาคนที่ข้าทิ้งเอาไว้ในซีอาน หากข้าเห็นว่าควรเลิกเมื่อไรก็จักพาเขากลับซื่อชวนไปด้วย”
“ข้ามิได้ถามเจ้าก่อนหน้านั้นเลย คนที่เจ้าตามหาเป็นสหายคนในครอบครัวของเจ้าอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าจักมองว่าเช่นนั้นก็ได้” ช็องมยองทอดสายตาออกมองไปนอกหน้าต่าง แม้จักมีทิวเขามากมายบดบังวิสัยทัศน์ข้างหน้าเอาไว้อยู่ ทว่าดวงตาคล้ายดอกเหมยกลับสามารถมองได้ไกลกว่านั้น… มองไปยังเขาลูกหนึ่งที่มิว่าจักผ่านมาสักกี่เดือนกี่ปีก็มิเคยเลือนลายไปจากหัวของเขากระทั่งวันเดียว
เห็นอารมณ์ของอีกฝ่ายเป็นเช่นนั้น ถังกุนอักจึงปล่อยให้เขาเหม่อมองสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในใจพักหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไปจนได้ที่แล้วก็กระแอมไอ กล่าวคำถามเปลี่ยนบรรยากาศว่า “เป็นอย่างไร เสื้อคลุมตัวนอกใส่พอดีหรือไม่”
“พอดีแล้ว มิรู้มาก่อนเลยว่าทายาทตระกูลถังจักทำเสื้อคลุมนอกเอาไว้ให้ข้าด้วย”
“เดิมทีคนของตระกูลต้องสวมใส่เป็นประจำอยู่แล้ว แม้เจ้ามิใช่คนของตระกูลแต่เดิมทีก็สามารถใส่ได้เช่นกันผู้นำตระกูลถังสั่งตัดผ้าคลุมนอกไว้ให้เจ้าตั้งแต่เดือนหกแล้ว ทว่าเพราะเจ้าเอาแต่จมปลักกับกองเอกสารและการเที่ยวเล่นอยู่นั่นแล จึงมิมีโอกาสได้ลากตัวไปลองเสื้อคลุมเสียที”
สิ้นคำของเขา ถังกุนอักพลันกระโดดผ่านหน้าต่างเข้ามาข้างในทันที มิสนสายตา ‘ประตูเกวียนก็มีให้ขึ้นมิใช่หรือ ใยจึงต้องกระโดดผ่านหน้าต่างเข้ามาให้ลำบากด้วย’ ของช็องมยอง เขากระแอมไอด้วยความเขินอายเล็กน้อยก่อนจักกล่าวต่อว่า “นั่งลงเสีย ผู้อาวุโสมาครบแล้ว ถึงเวลาล้อหมุนแล้ว”
พวกเขานั่งลงคนละฝั่งของเก้าอี้นั่งของรถ ขณะที่ช็องมยองกำลังค้นตำราแพทย์ในกระเป๋าของถังกุนอักมาอ่านเล่นนั้น ฝ่ายหลังก็ยื่นผ้าสีหม่นผืนหนึ่งมาให้กับเขา เมื่อถามว่าผ้าผืนนี้เอาไว้ใช้ทำอันใด เจ้าตัวก็หยิบผ้าลักษณะคล้ายกันอีกผืนมาพันปิดใบหน้าครึ่งล่างของตนเองเอาไว้ พันเสร็จก็เอ่ยว่า “ท่านเจ้าเมืองจากซีอานกล่าวว่าเชื้อของโรคระบาดจากการวิจัยสามารถแพร่ผ่านอากาศได้ จึงส่งผ้าที่ผ่านการทดสอบว่าป้องกันเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้จริงมาให้ วิธีการใช้ก็อย่างที่ข้าสาธิตเมื่อครู่นั่นแล”
“ในเมื่อเป็นการติดกันผ่านอากาศได้ เช่นนั้นปิดแค่ใบหน้าส่วนล่างจักช่วยได้จริงหรือ อาจเป็นการป้องกันการสูดดมได้ก็จริง ทว่าก็ยังมีโอกาสติดเชื้อในส่วนอื่นได้อยู่นี่”
“ฝั่งนั้นให้สิ่งใดมาก็สวมไป อย่าได้ตั้งคำถามให้มากความ ไว้ตอนไปถึงนู่นเจ้าค่อยถามสิ่งที่อยากรู้ให้หมด”
“ก็ได้ๆ หากใกล้ถึงซีอานแล้วก็บอกข้าด้วยแล้วกัน”
ว่าแล้วช็องมยองก็จัดการพับผ้าในมือเก็บอย่างคนมิใคร่ใส่ใจนัก กระทั่งเสียงของถังกุนอักที่เริ่มบ่นเขาตรงหน้าก็ยังทำเป็นหูหนวกมิได้ยินอันใดทั้งสิ้น ทว่าเมื่อพับไปได้ไม่เท่าไร ดวงตาคล้ายดอกเหมยพลันเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยทันทีที่เห็นตัวอักษร ‘秦’ (진) สลักด้วยเส้นด้ายประดับอยู่ตรงมุมขวาล่างของผ้า
ครั้นเมื่อขอถังกุนอักมาเปิดดูผ้าผืนที่เจ้าตัวกำลังพับเก็บอยู่ ก็มีตัวอักษรจีนตัวเล็กนี้ถูกสลักเอาไว้ตรงมุมขวาล่างของผ้าเช่นกัน
/จิน/งั้นหรือ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจักเป็นศิษย์พี่ใหญ่
ศิษย์พี่ใหญ่ของเขาในภพชาติก่อนน่ะหรือ เป็นคนทำผ้าเหล่านี้ขึ้นมา
อาจเป็นเขาก็ได้หรืออาจเป็นผู้อื่นก็ได้ ใครจักรู้เล่า… ทว่าอย่างนี้ก็ค่อยสะดวกในการหาตัวในเมืองใหญ่ขึ้นมาหน่อย
เวลาไปตามหาตัวจักได้ไม่เสียเวลามากด้วย เอาล่ะ ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านเตรียมใจเอาไว้เถิด ศิษย์น้องคนนี้กำลังเดินทางไปช่วยท่านเดี๋ยวนี้แล
——
‘ข้ามิเข้าใจว่าเหตุใดสีหน้าของเขา เมื่อข้าเอ่ยถามว่าเขาคือผู้ใด ถึงได้ดูเศร้าเสียใจนัก ทว่าพอจดจำทุกอย่างได้แล้ว ข้าก็รู้สึกผิดกับเขามากเหลือเกิน เขาคงกลัวมากเวลาที่ต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้งโดยไม่มีผู้ใดอยู่เคียงข้าง หากตัวข้าในเวลานั้นจำอันใดได้บ้าง เขาคงไม่ลำบากในเส้นทางเต็มไปด้วยลวดหนามขนาดนี้’
——
เสียงเฝือกม้ากระทบกับพื้นดินค่อยๆ ชะลอลงหลังจากใช้เวลาเดินทางมากว่าเจ็ดวันด้วยกัน ผ้าม่านข้างรถพลิ้วไหวไปตามแรงลมก่อนจักถูกมือเรียวข้างหนึ่งเลิกขึ้น ช็องมยองกวาดสายตามองบริเวณภายนอกรถม้าอยู่พักหนึ่ง ก่อนจักนำผ้าม่านมาปิดทับหน้าต่างเช่นเดิม
“ประตูเมืองอยู่ห่างจากตรงนี้เพียงมิกี่จั้งแล้ว” น้ำเสียงของเขาฟังดูอู้อี้เล็กน้อยภายใต้ผ้าคลุมใบหน้าส่วนล่าง “เจ้าอย่าลืมไปคุยกับท่านเจ้าเมืองเรื่องใบขออนุญาตออกเรือนแพทย์ตามใจชอบของข้าเล่า”
ถังกุนอักที่เพิ่งผูกผ้าคลุมหน้าเสร็จใหม่ๆ พยักหน้ารับด้วยความหน่ายกับถ้อยคำนั้น ขณะเตรียมจดหมายเชิญออกจากในแขนเสื้ออาภรณ์ก็กล่าวตอบไปว่า “ตลอดทั้งการเดินทางเจ้าก็ย้ำนักย้ำหนาพอแล้ว ให้หูของข้าพักจากการฟังเจ้าหน่อยเถิด ข้าเคยลืมเรื่องอย่างคำขอสำคัญเช่นนี้ด้วยหรืออย่างไรกัน”
“เอาใบจากท่านเจ้าเมืองของซีอานมาก่อน แล้วข้าค่อยตอบคำถามนั้นของเจ้า” ได้ยินช็องมยองเอ่ยตอบมาเช่นนั้น ทายาทตระกูลถังก็อดส่ายศีรษะกับความกังวลที่อีกฝ่ายมีมิได้ กังวลหนักเสียจนตัวเขาเองก็เริ่มเกรงกลัวว่าจักลืมนำมาให้ตามแล้วเนี่ย ถึงจักรู้ว่าตนเองมิใช่คนที่ลืมเรื่องพวกนี้ได้อย่างง่ายดายก็ตาม
ยามเมื่อล้อทั้งสี่ของรถม้าหยุดสนิทหน้าประตูเมือง เสียงเคาะประมาณสองถึงสามครั้งพลันดังขึ้นมาจากทางด้านหน้าของรถในทันใด มิรอให้คนคุมม้าได้เอ่นถ้อยคำใดต่อหลังจากนั้น ถังกุนอักก็ลุกขึ้นเดินลงจากรถม้าเดินตรงไปยังทหารเฝ้ายามหน้าประตูอย่างรู้งาน แล้วแสดงนำจดหมายเชิญประทับตราประจำเมืองซีอานออกมาให้ดู ระหว่างการกระทำนี้ไม่มีคำพูดใดแลกเปลี่ยนระหว่างพวกเขาทั้งสิ้น
ทหารยามสวมผ้าคลุมหน้าส่วนล่างผู้หนึ่ง — ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นผู้นำของทหารยามหน้าประตูเมืองทั้งหมด ดูจากเครื่องแต่งกายที่สวมใส่มีสีต่างจากทหารยามคนอื่นโดยสิ้นเชิง — ใช้เวลาอ่านจดหมายนั้นอยู่สักพัก ก่อนจักส่งมันกลับให้ถังกุนอักพร้อมประสานมือก้มศีรษะคำนับลงต่ำ “ในนามของตัวแทนราษฎร์แห่งเมืองซีอาน ข้าน้อยแสดงความซาบซึ้งและขอบพระคุณทางตระกูลถังแห่งซื่อชวนที่ตัดสินใจมือเข้ามาให้ช่วยเหลือเป็นอย่างยิ่งขอรับ”
มิรอคำตอบจากทายาทตระกูลถังหลังจากนั้น เขาหันไปตะโกนกล่าวกับทหารหน้าประตูที่เหลือว่า “เปิดประตูเมืองได้” ครู่หนึ่งจึงพูดต่อ “ส่งคนไปรายงานท่านเจ้าเมืองด้วยว่า— ตระกูลถังแห่งซื่อชวนได้เดินทางมาถึงซีอานแล้ว”
จากข้างในรถม้า ช็องมยองได้ยินเสียงสิ่งของหนักขยับลากผ่านผืนแผ่นดิน ทั้งยังรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนซึ่งอาจเกิดจากการเปิดประตูเมืองอีกด้วย ยามเมื่อเสียงพร้อมแรงสั่นนี้หยุดลงแล้ว ร่างของถังกุนอักก็เดินกลับเข้ามานั่งบนเก้าอี้นั่งในรถม้าเช่นเดิม
ใช้เวลาไม่นานนักล้อทั้งสี่ของรถม้าก็เริ่มเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอีกครั้งหนึ่ง
สู่ในตัวเมืองซีอาน สถานที่ที่บัดนี้มิหลงเหลือแม้กระทั่งมุมอันงดงามให้ชมอีกแล้ว มีเพียงแค่ทิวทัศน์ของบ้านเรือนปิดตายเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้จากตรงหน้าต่างข้างรถม้า
ท้องถนนไร้ซึ่งผู้คน โคมไฟข้างทางถูกทิ้งให้เหลือเพียงเศษเถ้าราวกับว่ามิมีผู้ใดกล้าออกจากเรือนมาเปลี่ยนมันนานแล้ว ต้นไม้ใบหญ้าข้างทางเริ่มห่อเหี่ยว บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าพวกมันขาดน้ำขาดสารอาหารมานานแค่ไหนแล้ว
บางครั้งก็สังเกตเห็นขอทานลำตัวซูบผอมเต็มไปด้วยจุดสีแดงคล้ายผื่นในตรอกซอกซอยจ้องมองมายังรถม้า บางครั้งก็สัมผัสได้ถึงสายตาอันสิ้นหวังมองผ่านหน้าต่างไม้ตอกตะปูมองมา บางครั้งก็ได้ยินแว่วเสียงร่ำไห้อย่างโศกเศร้าดังออกมาจากในตัวเรือน
ดวงตาคล้ายดอกเหมยเกิดประกายวูบไหวเล็กน้อยขณะมองภาพเหล่านั้น เขาถอนหายใจก่อนจักปล่อยมือจากผ้าม่านลงให้มันลงมาครอบหน้าต่างข้างรถม้าเช่นเดิม จากนั้นจึงวางมือทั้งสองข้างลงบนตักพร้อมทำจิตใจให้โล่งเตรียมทำสมาธิมิสนใจสิ่งรอบข้างอีก
คนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองท่าทีของพี่น้องร่วมสาบานพักหนึ่ง แล้วจึงเอ่ยถามว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการให้ข้าเข้าพบท่านเจ้าเมืองเป็นการส่วนตัวเพื่อขอใบรับรองการออกไปข้างนอกของเจ้าจริงๆ ”
“ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้ามีคนที่ต้องตามหา จักมาเลิกเอาตอนนี้เพียงเพราะหวาดกลัวสภาพในเมืองได้อย่างไรกันเล่า” ช็องมยองกล่าว น้ำเสียงของเขาฟังดูเรียบนิ่งเสียจนถังกุนอักสงสัยว่า ที่ตัวเองเห็นประกายความโศกเศร้าเมื่อครู่ในตาอีกฝ่ายเป็นของแท้หรือแค่คิดไปเองกันแน่
ทว่าหากช็องมยองยืนยันดังนั้นแล้ว เขาก็มิมีอันใดต้องปฏิเสธอีก
ในขณะนั้นเองที่ดวงใจของฝ่ายหน้ากำลังปั่นป่วนไปด้วยความรู้สึกมากมายพากันถาถมเข้ามาอย่างมิทันได้ตั้งตัว เขามิรู้ว่าจักอธิบายความรู้สึกนี้ออกมาเป็นคำพูดอย่างไรดี แต่หากให้หาคำแทนของมันออกมาจริงๆ คงเป็นการที่ตนคิดว่าทุกสิ่งซึ่งกำลังเกิดขึ้นอยู่ข้างนอกรถม้านั้นเป็นความรับผิดชอบของตัวเองทั้งหมดกระมั้ง
หากช็องมยองไม่ถูกส่งมา ณ ที่แห่งนี้เพื่อรับบทลงโทษจากสวรรค์ บางทีเหล่าคนพวกนี้อาจยังมีความสุขดีอยู่ในเมืองซีอานก็เป็นได้ รวมทั้งศิษย์พี่ใหญ่ของเขาเองอาจไม่โดนคนในตระกูลทอดทิ้งอีกครั้งอีกด้วย
แปลกดีเหมือนกัน ทั้งที่มิใช่ครั้งแรกที่ช็องมยองเห็นภาพของผู้คนในยามทุกข์ยากแท้ๆ ซ้ำยังเคยพบเห็นสิ่งที่ย่ำแย่กว่าเมืองเต็มไปด้วยโรคระบาดอีก ทว่ากลับเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงความหวาดกลัวในใจกับภาพพวกนั้น
เป็นเพราะเหตุใดกัน เพราะในชีวิตนี้มาในถานะนักวิจัยยารักษาโรค เพราะข้างกายไม่มีคนไว้ใจในอดีตอยู่ด้วย หรือเพราะกลัวว่าจักรับผิดชอบต่อชีวิตของคนไม่ได้กันแน่
เขาไม่รู้และเวลานี้ก็ไม่อยากทราบด้วย
ล้อของรถม้าเคลื่อนหมุนต่อไปเรื่อยๆ พักหนึ่งจึงหยุดลงเมื่อมาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ผู้อาวุโสรวมทั้งศิษย์ศึกษาวิชาแพทย์ในตระกูลถังถยอยเดินลงมาจากในรถม้า ช็องมยองเองก็เดินตามถังกุนอักลงมาเช่นกัน
เมื่อรวมตัวกันเรียบร้อยแล้วจึงเดินอย่างเป็นระเบียบผ่านประตูตำหนักที่เหล่าทหารเปิดรอต้อนรับไป จากตรงนี้สามารถมองเห็นท่านเจ้าเมืองกำลังถูไถมือทั้งสองข้างใต้แขนเสื้ออาภรณ์ด้วยความกังวลพร้อมบ่าวรับใช้สองคนยืนเช็ดเหงื่อให้อยู่ข้างกายตรงหน้าตำหนัก ท่าทีนั้นมิว่าเป็นผู้ใดผ่านมาเห็นคงอดรู้สึกเห็นใจเขามิได้เป็นแน่แท้ คิดไปว่าภาระของโรคระบาดในเมืองที่หนักไหล่อยู่นั้น คงทำเอาเหนื่อยล้ามากแน่
ทว่าสำหรับช็องมยองแล้ว ท่าทางนั้นบ่งบอกถึงอย่างอื่นอย่างชัดเจน
แทนที่จักรู้สึกกังวล ท่านเจ้าเมืองคนนี้ออกไปทางหวาดกลัวมากกว่า
ช็องมยองหรี่ตาลง สองมือข้างลำตัวกำแน่นขึ้นเล็กน้อยจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือก่อนจักคลายออกอย่างเชื่องช้า เวลานี้แม้สัญชาตญาณของเขากำลังกรีดร้องให้ทำอันใดสักอย่างกับท่านเจ้าเมืองคนนี้ก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจักอยู่ๆ ก็เข้าไปจับคอเสื้ออาภรณ์มาโยนออกนอกเมืองสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นได้เลยเสียหน่อย
เพราะเช่นนั้นรอก่อนดีกว่า หรือไม่ก็รอจนกว่าถังกุนอักจักพูดอันใดเกี่ยวกับเรื่องนี้
ยังดีที่เมื่อเหลือบมองไปยังพี่น้องร่วมสาบานแล้วก็เห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจด้วยเช่นกัน มิอย่างนั้นหากได้อยู่กันตามลำพังแล้วหลังจากนี้ สิ่งที่เขาจักทำเป็นอย่างแรกคือการเขย่าคอของถังกุนอักแทนท่านเจ้าเมืองเป็นแน่
ราวกับรู้ดีว่ามีสายตาของช็องมยองจ้องมองมาทางตน ถังกุนอักปรายตามองกลับมาพลางขยับปากว่า /“อดทนไว้ก่อน ข้ารู้ว่าเจ้ามิอยากอยู่สนทนากับเขามากนัก จักรีบถามถึงเรื่องเรือนรับรองแขกให้”/
ด้วยเหตุนี้เองช็องมยองจึงยอมเดินตามไปอย่างสงบแต่โดยดี
เมื่อมาถึงหน้าตำหนักแล้ว ท่านเจ้าเมืองก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกพร้อมกล่าวต้อนรับตระกูลถังอย่างปิติยินดีในทันใด ถังกุนอักซึ่งเป็นตัวแทนของตระกูลเองก็ประสานมือคำนับกลับไปอย่างสุภาพเช่นกัน หลังจากพูดคุยกันไปได้พักหนึ่ง เขาก็เอ่ยถามเรื่องเรือนรับรองแขกอย่างที่สัญญาไว้กับช็องมยองให้จริงๆ
ทางท่านเจ้าเมืองได้ยินดังนั้นจึงออกคำสั่งให้บ่าวข้างกายนำทางศิษย์ตระกูลถังไปยังเรือนรับรองแขกเสีย ส่วนเจ้าตัวกับถังกุนอักรวมถึงผู้อาวุโสก็เดินเข้าตำหนักไปคุยเรื่องกิจธุระต่อ
เรือนรับรองแขกแบ่งออกเป็นสามห้องด้วยกัน คือเรือนสำหรับทายาทตระกูลถังและพี่น้องร่วมสาบาน ส่วนอีกสองเรือนที่เหลือเป็นของผู้อาวุโสกับศิษย์ประจำตระกูล เหตุผลที่มิสามารถแบ่งห้องออกได้เยอะกว่านี้คงเป็นเพราะมีทีมหน่วยแพทย์จากตระกูลอื่นมาพักด้วยนั่นแล
ช็องมยองเดินตามทางแยกไปยังเรือนรับรองแขกของตัวเอง หลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วจึงนั่งวิเคราะห์อาการของชาวเมืองที่ติดโรคระบาด — ซึ่งเพิ่งได้หนังสือรายงานมาใหม่จากท่านเจ้าเมืองเมื่อครู่ — อยู่ในเรือน รอถังกุนอักกลับมาพร้อมใบอนุญาตออกนอกตำหนักได้ตามใจชอบ
ทว่ารอไปจักสองชั่วยามแล้ว เจ้าตัวก็มิยอมโผล่หัวมาให้เห็นเสียที และด้วยความที่เดิมทีช็องมยองเป็นคนใจร้อนอยู่แล้ว ทั้งยังมีภาพของชาวเมืองที่เห็นตลอดทางผ่านหน้าต่างรถม้าคอยตามหลอกหลอนเขาอีก ในท้ายที่สุดก็ตัดสินใจหาพู่กันมาเขียนข้อความใส่แผ่นกระดาษทิ้งไว้บนโต๊ะเรือนรับรองแขก ก่อนจักกระโดดออกเรือนแขกผ่านบานหน้าต่างออกไปทั้งอย่างนั้น
ยามเมื่อเท้าลงเหยียบถึงพื้นถนนนอกกำแพงตำหนักแล้ว ช็องมยองก็กวาดสายตามองรอบๆ ในทันที สภาพในเมืองก็มิได้มีความต่างอันใดกับที่เห็นนอกรถม้ามากนัก ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคงเป็นสายตาเหล่านั้นซึ่งเคยจับจ้องมากมา บัดนี้ไม่รู้สึกถึงมันอีกแล้ว
ความเป็นไปได้สองอย่างวนเวียนอยู่ในหัวของเขา ไม่ชาวเมืองแถวตำหนักเสียชีวิตลงหมดแล้ว ก็เป็นพวกเขาที่มิกล้าเข้าใกล้ตัวตำหนักเอง
มินานนักช็องมยองก็ปัดไล่ความคิดพวกนั้นออกไป ‘จำเอาไว้ เจ้าออกมาเพราะวัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือการตามหาศิษย์พี่ใหญ่ หากมามัวทำตัวเป็นนักคุณธรรมคอยไขปัญหาให้เมืองเช่นนี้ เมื่อไรหนอจักได้พบกัน’
หากกลับไปมิทันมีหวังโดนถังกุนอักดุด่าจนหูชาอีกเป็นแน่ เพราะเช่นนั้นรีบหารีบกลับเสียดีกว่า
ทว่าเวลานึกคิดสิ่งใดมักฟังดูง่ายกว่าการปฏิบัติจริงอยู่เสมอ ผ้าคลุมนอกสีเขียวอ่อนพาดลายสีม่วงของตระกูลถังโบกสะบัดไปกับสายลมทุกครั้งที่ใช้วิชาตัวเบากระโดดเหยียบหลังคาเรือนแล้วเรือนเล่า ทุกคราที่กระโดดเองก็มีสายลมพัดผ่านมาทักทายใบหน้าของช็องมยองเช่นกัน เอาจนหัวโล่งเพราะโดนพัดด้วยความเย็นมาอย่างยาวนานเลยทีเดียว
จักกระโดดขึ้นไปบนยอดตำหนักสูงสุดของเมืองซีอานมองหาเลยก็มิได้อีก เนื่องจากในภพชาตินี้ช็องมยองไม่รู้ว่าแพกชอนแต่งกายเช่นไร อีกอย่างในสถานการณ์ที่น้อยคนยอมออกมาจากบ้านเพื่อหาอาหารประทังชีวิตนี้ คงต้องก้มลงมองผ่านหน้าต่างทุกเรือนอย่างเดียวถึงจักรู้ว่าผู้ใดคือผู้ใด หรือเป็นเรือนว่างเปล่าหรือไม่
ในขณะนั้นเองก็พยายามมองหาตัวอักษรจีนตามในผ้าคลุมหน้าสลักเอาไว้ด้วย แต่มิว่าจักหาอย่างไรก็หาไม่เจอเสียที
เรือนแล้วเรือนเล่าที่เขาหา บางครั้งก็พบศพของผู้ติดเชื้อนอนเสียชีวิตอยู่บนเตียง บางครั้งก็ได้ยินเสียงร่ำไห้ฉีกหัวใจดังก้องอยู่ตรงถนน บางครั้งก็เห็นทหารยามพยายามจัดการกับคนที่แอบลอบออกนอกเมืองด้วยความใจเย็น
เท้าคู่นี้เหยียบกระเบื้องหลังคอเรือนไปกี่หลังต่อกี่หลังแล้ว ดวงตาคู่นี้เห็นภาพอันน่าหดหู่ของเมืองกี่คร้ังต่อกี่ครั้งแล้ว มือคู่นี้เผลอเข้าช่วยเหลือปลอบใจคนเหล่านั้นนับไปเท่าไรแล้ว ช็องมยองจำมิได้
รู้สึกตัวอีกทีก็ยามโหย่ว*เสียแล้ว
(*ยามโหย่ว ประมาณ 17:00 - 18.59 น.)
เวลานี้ช็องมยองกำลังนั่งอยู่บนหลังคาของบ้านเรือนไร้ผู้คนหลังหนึ่งอยู่ ดวงตาคล้ายดอกเหมยเหม่อมองดวงอาทิตย์ร่วงลับผสมผสานอย่างกลมกลืนไปกับฟ้าสีคราม เสื้อคลุมตัวนอกพลิ้วไหวเอื่อยๆ ตามสายลมอ่อน
ในเมื่อหาผู้ที่อยากพบไม่เจอ เช่นนั้นก็ขอมองภาพความงามซึ่งเป็นสิ่งหาได้ยากในเมืองนี้หน่อยก็แล้วกัน
ยามแสงสว่างแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์จางหายไปแล้ว เขาจึงค่อยยันกายลุกขึ้นจากบนหลังคากวาดตามองหาทางกลับไปยังเรือนรับของแขกของตำหนักท่านเจ้าเมือง พอพบเจอเส้นทางกลับอย่างที่หวังเอาไว้แล้วก็เตรียมยกเท้ากระโดดไปเหยียบหลังคาเรือนอีกหลังในทันใด หากมิรีบกลับไปตอนนี้มีหวังโดนทหารลาดตระเวนจับกุมพากลับไปส่งเองถึงที่หมายโดยไม่ต้องเดินเองให้ลำบากกายเป็นแน่ แล้วเขาก็จักโดนถังกุนอักบ่นเรื่องนี้เพิ่มจากเดิมอีกด้วย
ทว่ากลับมีสิ่งหนึ่งหยุดเท้าข้างนั้นของช็องมยองเอาไว้ก่อน จากตรงนี้ก้มมองลงไปข้างล่างจักสบตากับดวงตากลมโตอันว่างเปล่าของเด็กสาวผู้หนึ่ง เผ้าผมรุงรังปรกหน้ารวมกับผ้าคลุมหน้าที่เธอสวมใส่ทำให้มองไม่ชัดนักว่าหน้าตาแท้จริงเป็นเช่นไรกันแน่ คราบเขม่าสีเทาเปรอะเปื้อนไปตามตัวของเด็กสาวเต็มไปหมด ทว่าอาภรณ์ในร่างกลับสะอาดไร้เศษฝุ่นจนน่าแปลกใจ
หากเป็นผู้อื่นผ่านมาเห็นคงคิดตั้งแต่มองเห็นฝุ่นเครอะตัวแล้วว่าเป็นแค่ขอทานข้างถนนคนหนึ่งเป็นแน่ แต่หากสังเกตเนื้อผ้าอาภรณ์ก็จักเปลี่ยนคำพูดในทันที แม้เนื้อของผ้านั้นจักมิได้มีคุณภาพดีเท่าอาภรณ์ที่พวกตระกูลใหญ่ใส่ก็จริง ทว่าด้วยสภาพของเมืองซีอานในเวลานี้ ช็องมยองคิดว่าอาภรณ์ของเธอนั้นหรูหรากว่าที่เคยเห็นผ่านตามากโขแล้ว
และต่างจากผู้คนทุกข์ยากในเมืองที่พากันหลบตาทีมหน่วยการแพทย์ สายตาที่เธอใช้จ้องมองมายังช็องมยองไร้ซึ่งความกลัวโดยสิ้นเชิง
เช่นนั้นคงกล่าวได้ว่าเด็กสาวตรงหน้ามิใช่คนธรรมดาเท่าไรนัก อาจเป็นผู้คนที่ทางท่านเจ้าเมืองดูแลเป็นพิเศษอยู่ก็ได้ ถ้าหากเป็นอย่างที่ว่ามาจริง แล้วเหตุใดทางตำหนักถึงตัดสินใจดูแลเด็กน้อยไร้ซึ่งผลประโยชน์ในการวิจัยโรคระบาดเล่า จักเรียกเพราะต้องการดูแลราษฏร์ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะก็มิได้ เพราะเด็กคนอื่นที่เขาเห็นก็ใช่ว่าจักมีอาภรณ์คุณภาพดีเท่ากับเธอทุกคน
จักว่าเป็นตัวทดลองยารักษาโรคก็มิใช่ เพราะรายงานในการทดลองยารักษาโรคซึ่งอ่านมาก่อนหน้านี้พูดถึงการทดลองกับสัตว์หมดเลย มิได้เอ่ยถึงการทดลองกับมนุษย์เลยแม้แต่น้อย จักกล่าวว่าเพราะทางทีมหน่วยแพทย์หน่วยอื่นปิดบังเอาไว้ก็มิใช่ เพราะอย่างไรก็ต้องร่วมงานกันในอนาคตอยู่แล้ว ปิดบังสิ่งดไปก็ไร้ประโยชน์ในเมื่อพวกเขาก็ต้องรู้เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็วอยู่ดี
บางทีอาจเป็นคนสำคัญกับทางท่านเจ้าเมืองเองก็ได้... ไม่ก็ทางบุพการีที่ดูแลเธออยู่มีความสำคัญต่อเมืองมาก จึงต้องให้ความสำคัญกับเด็กสาวผู้นี้ตามไปด้วย
หนึ่งบุรุษหนึ่งเด็กสาวมองหน้ากันครู่หนึ่ง ก่อนช็องมยองเปลี่ยนทิศทางของเท้ามากระโดดลงตรงหน้าเธอ เมื่อลงมาแล้วก็ทำการขยับลำตัวย่อลงให้ระดับสายตาของทั้งสองตรงกัน เอ่ยถามว่า “หลงทางหรือ”
ช็องมยองคุ้นเคยกับนิสัยของคนจำพวกเอาแต่มองปากมิยอมเปิดเป็นอย่างดี เขาจึงมิคาดหวังคำตอบจากเธอเท่าไรนัก คาดไม่ถึงว่าวินาทีต่อว่าเด็กสาวจักพยักหน้าขึ้นลงอย่างเชื่องช้าแทนคำตอบของคำถามเมื่อครู่
คิดอยู่พักหนึ่ง ช็องมยองก็ยื่นมือออกไปหาเธอพร้อมถามว่า "เช่นนั้นต้องการให้ข้าช่วยตามหาบ้านให้เจ้าหรือไม่ อย่างไรหากยังยืนอยู่ตรงนี้จักโดนทหารลาดตระเวนตามตัวเอานา"
เธอดูตกใจเล็กน้อยยามเห็นมือข้างนั้นยื่นมาทางตนเองจนเผลอขยับตัวถอยห่างไปเกือบจั้งหนึ่ง คราแรกนึกว่าเพราะหวาดกลัวคนแปลกหน้าหลอกเธอไปบั่นคอทิ้งแล้วย่างทานเป็นอาหารประทังชีวิต จึงพยายามพลิกคลังคำศัพท์ในหัวมาปลอบโยนเจ้าตัว ทว่าเมื่อกำลังจักกล่าวโน้มน้าวใจเด็กสาวอยู่นั้นเอง ก็มีรายงานวิจัยฉบับหนึ่งซึ่งเขียนเกี่ยวกับการแพร่เชื้อโรคระบาดผุดขึ้นมาในหัวของเขาเสียก่อน
/'...เชื้อของโรคระบาดสามารถแพร่สู่กันได้ผ่านทางอากาศ ทางน้ำลายและสิ่งของเครื่องใช้ที่ใช้ร่วมกันเองก็สามารถแพร่เชื้อได้เช่นกัน รวมทั้งการสัมผัสอย่างใกล้ชิดก็สามารถทำให้ติดเชื้อโรคระบาดได้อีกด้วย...'/
ทันใดนั้นเองที่ช็องมยองเข้าใจถึงการกระทำของเด็กสาวอย่างถ่องแท้ เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าเธอต้องมิอยากจับมือกับเขา มิใช่เพราะหวาดกลัวโดนหลอกไปสังหาร ทว่ากลัวเชื้อที่อาจแพร่ผ่านมือของคนแปลกหน้าสู่ตัวเธอต่างหาก ซ้ำยังเป็นผู้ที่เพิ่งพบกันครั้งแรกมิรู้ว่ามีเชื้อของโรคระบาดฝังติดตัวมาหรือยังอีก อย่างไรก็ต้องระวังไว้ก่อนอยู่แล้ว
คิดได้ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจชักมือกลับเข้าในแขนเสื้ออาภรณ์เช่นเดิม แม้ความจริงจักรู้ว่าตนเองไม่มีเชื้อติดตัวแน่ๆ ก็ตาม เพราะหากได้เชื้อมาแล้วอย่างไรก็สามารถใช้พลังปราณกำจัดทิ้งไปได้อยู่ดี ทว่าในเมื่อเด็กสาวตรงหน้าไม่รู้อีกทั้งเขาเองก็มิต้องการบอกก็คงต้องเล่นตามน้ำไปก่อน
ขณะกำลังคิดสิ่งใดไปเรื่อยเปื่อยนี้เองก็มีแรงดึงจากปลายแขนเสื้อดึงความสนใจจากเขาไปก่อน พอก้มมองไปยังต้นเหตุของแรงดึงนั้นก็พบเด็กสาวคนนั้นจับปลายแขนเสื้อเอาไว้อยู่ คล้ายต้องการสื่อว่าหากจับมือมิได้ก็ขอจับแขนเสื้อแทนมือก็แล้วกัน
ท่าทีนั้นทำเอาใจของช็องมยองพองฟูไปด้วยความเอ็นดูได้อย่างน่าประหลาด คงมิค่อยแปลกอันใดนักเพราะเดิมทีเขาเองก็เป็นคนที่ให้คามสนใจกับเด็กเป็นพิเศษอยู่แล้ว ทว่าครั้งนี้กลับแตกต่างจากครั้งอื่นเอามาก เพราะเด็กสาวทำให้เขานึกถึงศิษย์พี่หญิง ยูอิซอล เสียอย่างนั้น
หากมีผู้ใดมาบอกว่าคนที่กำลังกุมแขนเสื้อเขาไว้อยู่นี้คือยูอิซอลที่กลับชาติมาเกิดใหม่ ช็องมยองคงเชื่อหมดใจโดยมิคิดสงสัยอันใดเป็นแน่
ครั้นเมื่อกำลังจักเอ่ยปากถามถึงบ้านในความทรงจำของเธอ เด็กสาวก็จัดการลากตัวช็องมยองเดินไปเลี้ยวเข้าซอยนู้นทีซอยนี้ทีในทันใด ไม่มีถ้อยคำใดๆ แลกเปลี่ยนระหว่างทั้งสองในเวลานี้เลยแม้แต่น้อย ไม่มีแม้กระทั่งสัญญาณขอความเชื่อเหลือในการตามหาบ้านอีกฝ่าย จักช่วยทีไรก็เป็นต้องอยู่นิ่งๆ ให้ทหารยามลาดตระเวนเดินผ่านไปก่อนทุกที แล้วมิใช่ว่าหลังจากนั้นจักได้กล่าวอันใดต่อด้วย เพราะทางเด็กสาวพอเห็นว่าทหารเดินผ่านไปแล้วก็ออกแรงดึงเขาให้ออกมาหาที่ซ่อนใหม่ต่อในทันใด
เป็นเช่นนี้ต่อไปจนครบชั่วยามหนึ่ง ช็องมยองก็เริ่มสงสัยในการมีอยู่ของตัวเขาในสถานการณ์นี้ ตกลงตอนนี้คือเขาหรือเธอกันแน่ที่หลงทางในเมื่อแต่ละทางที่เด็กสาวกำลังพาไปนั้นดูไม่คุ้นเสียเลย ผู้ใดกันแน่ต้องการควมช่วยเหลือในเมื่อเด็กสาวพาหลบเยี่ยงของถนัดขนาดนี้ - จักว่าไป หากถนัดหลบทหารลาดตระเวนเช่นนี้แสดงว่าออกมาข้างนอกในยามพบค่ำบ่อยหรือเปล่านะ - แล้วตกลงใครควรกลัวว่าใครจักลักพาตัวไปบั่นคอในที่ลับแล้วย่างศพทานประทังชีวิตกันแน่
ว่าแต่… วันแรกที่มาถึงซีอาน เขาก็โดนเด็กลักพาตัวไปแล้วหรือนี่ ช่างเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ต่างจากทั้งสามชีวิตที่ผ่านมาดีแท้
หลังจากใช้เวลาเดินเท้ามาอยู่นาน เด็กสาวคนนั้นก็พาช็องมยองมาหยุดอยู่หน้าเรือนหลังใหญ่เรือนหนึ่ง ต่างจากเรือนหลายหลังที่ช็องมยองเคยสำรวจมาก่อนหน้านี้ สถานที่แห่งนี้มิค่อยมีสิ่งผุผังอันใดมากนัก อีกทั้งยังมีแสงไฟลอดอออกมาจากในตัวเรือนอีกต่างหาก ตรงประตูเรือนมีกระดิ่งพร้อมพู่มากมายผูกเอาไว้อยู่ ป้ายแผ่นไม้อันเล็กข้างๆ เขียนเอาไว้ว่า /'กรุณาสั่นกระดิ่งหากมีกิจด่วน หากมิมีก็ช่วยเคาะประตูแล้วรอสักครู่'/ ดูจากสถานที่แล้วคงเป็นร้านอันใดสักอย่างกระมั้ง เหตุใดเธอถึงพาเขามายังที่แห่งนี้กันเล่า
มิรอให้สติของช็องมยองที่หลุดหายออกไปกลับมาแม้แต่ครึ่งเค่อเดียว เด็กสาวก็ก้าวไปยังหน้าบานประตูเรือนนั้นแล้วยกมือขึ้นมาเคาะเป็นจังหวะเรียบร้อยแล้ว มิให้แขกนอกเรือนได้รอนาน ประตูเรือนก็ขยับเปิดออกเกือบจักในทันที พร้อมกับเสียงนุ่มทุ้มของเด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นมาว่า “อิซอลอ่า- ข้ากล่าวกับเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าอย่าได้ออกไปข้างนอกคนเดียวในยามโหย่ว เวลาปิดไฟเช่นนี้หากถูกจับได้ว่าฝ่าฝืนกฎอีกครั้งประเดี๋ยวท่านเจ้าเมืองจักพิโรธเอาจริงๆ หรอก”
ดวงตาช็องมยองเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อได้ยินนามนั้นหลุดออกจากปากของชายหลังบานประตู และยิ่งขยายกว้างขึ้นไปอีกยามเห็นเจ้าของเสียงเดินออกมาจากเรือนพร้อมผ้าผืนหนึ่งในมือ
บุรุษผู้นี้มีใบหน้าหล่อเหลาจนมิว่าเป็นชายหรือหญิงเดินผ่านก็ต้องมีกล่าวชมกันบ้างทั้งนั้น - คงเพราะมิได้สวมใส่ผ้าคลุมหน้าจึงดูหล่อผิดปกติด้วยกระมั้ง - ไขมันวัยเยาว์ตามประสาเด็กอายุสิบห้าบนใบหน้า มิได้ทำให้ดูหล่อน้อยลงแต่อย่างใดทว่าเพิ่มความน่าเอ็นดูประดับเล็กน้อย ดวงตาสีเทอร์คอยซ์จับจ้องมายังช็องมยองด้วยสายตาแหลมคมคล้ายมิค่อยไว้ใจเท่าไรนัก แม้จักในนั้นจักปนไปด้วยความตกใจที่พบคนแปลกหน้าด้วยก็ตาม
เรือนผมสีดำขลับถูกมัดรวบขึ้นมัดเป็นหางม้าสูง ผ้าคาดหน้าผากสีขาวถูกผูกเอาไว้ตั้งแต่ตรงหน้าผากไปยังหลังศีรษะของเขา อาภรณ์ที่สวมใส่แม้จักมีสีสันจืดชืดไร้ซึ่งความพิเศษใดๆ ทว่าวิธีการสวมแต่งกายหาได้ธรรมดาตามแม้แต่น้อย ด้วยความที่ว่าช็องมยองไม่รู้ว่าการแต่งกายเช่นนี้จักสามารถอธิบายออกมาได้เป็นอย่างไรจึงได้แต่คิดว่ามันก็ดูพิเศษไม่น้อยอยู่อย่างนั้น
แต่สิ่งเหล่านั้นหาใช่เหตุผลที่ช็องมยองตกใจกับภาพตรงหน้าไม่ สิ่งที่ทำให้เขายืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้นเป็นใบหน้าอันคุ้นเคยของเด็กหนุ่มต่างหาก
"มิทราบว่า..." เสียงนั้นเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางระแวงที่ช็องมยองคุ้นเคยเป็นอย่างดีตั้งแต่ภพชาติก่อน "...เจ้าคือผู้ใดงั้นหรือ"
บัดนี้ศิษย์พี่ใหญ่แพกชอน หรือเจ้าของร้านตัดเย็บผ้า /จินดงรยง/ ที่ใช้เวลาตามหากว่าหลายชั่วยาม ได้มายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
——
[tbc]