Recent Search
    Sign in to register your favorite tags
    Sign Up, Sign In

    Tsukidayoes

    ☆quiet follow Send AirSkeb request Yell with Emoji 💖 👍 🎉 😍
    POIPOI 13

    Tsukidayoes

    ☆quiet follow

    ตอนเขียนรู้สึกมันoocแบบแปกๆ เลยไม่กล้าลงเท่าไหร่แต่เอาเถอะ55

    โดช็อง ฉบับนักเล่นพิณกับผู้สาวของเขา- นักเล่นพิณพระจันทร์โดวิ / นักรบหาที่พักชั่วคราวช็องมยอง(ญ)

    - OOC





    ยามเมื่อนิ้วเรียวยาวค่อยๆ กดลงปลายสายพิณพระจันทร์เป็นการบรรเลงจังหวะเดี่ยวอันสุดท้ายก่อนจบการแสดง เสียงปรบมือพร้อมเสียงร้องเชียร์พลันดังขึ้นก้องบริเวณโถงชั้นแรกของโรงเตี๊ยมในทันใด ทุกเสียงล้วนเปี่ยมไปด้วยความประทับใจในดนตรีที่พวกตนได้ฟังเมื่อครู่ ฟังจากหนใดก็มิสามารถได้ยินเสียงคนพึมพำออกมาด้วยความไม่พอใจแม้แต่น้อย

    เป็นเช่นนี้ก็คงบ่งบอกได้ว่านักเล่นพิณพระจันทร์ผู้นี้คงเป็นคนที่มีความสามารถทางด้านการบรรเลงไม่น้อย ถึงขั้นสามารถสะกดคนทั้งโรงเตี๊ยมให้มาชื่นชอบดนตรีของตนได้อย่างนี้ นับว่ามิธรรมดาเสียเท่าไรนักสำหรับผู้บรรเลงที่เป็นบุรุษ

    ซึ่งโดยปกติแล้ว จักมิค่อยมีบุรษใดที่สนใจในการเล่นดนตรีมากนัก หากมีก็มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้น อีกทั้งอาชีพเช่นนี้ต้องอาศัยหน้าตาในการทำมาหาทานเป็นส่วนใหญ่ น้อยคนนักที่สนใจในดนตรีอย่างเดียวจริงๆ ในยุคนี้ และเหล่าคนส่วนใหญ่ที่มาดูการแสดงล้วนเป็นบุรุษทั้งสิ้น จักให้ดูบุรุษด้วยกันเองก็กระไรอยู่ เพราะอย่างนี้นักดนตรีผู้เป็นสตรีจึงมีมากกว่าบุรุษมากโข

    ยากนักที่จักเห็นบุรุษแสดงการบรรเลงดนตรีให้เห็นโดยมิมีสตรีคอยระบำควบคู่ไปด้วยอยู่ลานแสดงเล็ก

    ยิ่งบรรเลงเดี่ยวแล้วสามารถเอาชนะใจของผู้ฟังได้ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่

    ครั้นเมื่อเสียงเชียร์ของผู้คนรอบข้างซาลงแล้ว ชายหนุ่มผู้เล่นพิณพระจันทร์คนนั้นก็ลุกขึ้นยืนจากที่นั่งก่อนจะโค้งลำตัวส่วนบนไปข้างหน้าเล็กน้อยแทนคำขอบคุณ แล้วจึงหยิบเครื่องดนตรีของตัวเองขึ้นมาแนบชิดกาย เดินลงจากลานแสดงเล็ก ตรงขึ้นไปยังชั้นสองสถานที่ที่เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมกำลังยืนรอเขาอยู่



    "โรงเตี๊ยมของข้าในวันนี้เองก็สามารถทำเงินได้ดีอีกแล้ว ต้องขอบคุณคุณชายโดวิเป็นอย่างมากขอรับ" เมื่อเดินมาถึงแล้ว ชายวัยกลางคนก็เดินเข้ามาเอ่ยด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจในเกือบจะทันที "เพราะความสามารถทางด้านดนตรีของคุณชายจึงทำให้โรงเตี๊ยมนี้กลับมาร่าเริงได้อีกครา ผู้คนต่างต้องมนตร์สะกดในเสียงพิณพระจันทร์ของท่านกันหมด แม้กระทั่งข้ายังรู้สึกซึมซับไปกับท่วงทำนองของมันจนมิเป็นอันทำงานเลยทีเดียว- ข้าต้องขอบอกจริงๆ ว่าพวกเราช่างโชคดียิ่งนักที่มีท่านมาอยู่ที่นี่"



    นัมกุงโดวิเห็นเขาเดินมาก็ส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรกลับไปให้ "เถ้าแก่กล่าวเกินไปแล้ว ข้ารู้เรื่องการบรรเลงพิณพระจันทร์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เล่นได้แค่ไม่กี่เพลง อีกเดี๋ยวหากพวกเขาเกิดเบื่อขึ้นมาก็มิมีอันใดให้ดีใจแล้ว เช่นนั้นเถ้าแก่อย่าเพิ่งด่วนเรียกข้าเป็นผู้มีพระคุณต่อโรงเตี๊ยมดีกว่า"



    "บะ คุณชายก็ชอบพูดไปเรื่อยอยู่ได้ มีท่านอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เดือนสิบเอ็ดจวบจนเวลานี้ก็เดือนใหม่คือเดือนสี่แล้ว ก็มิเห็นมีแขกในโรงเตี๊ยมลดลงแม้แต่รายเดียว" ผู้เป็นเถ้าแก่กลั้วหัวเราะออกมาเล็กน้อย "เล่นได้กี่เพลง รู้การบรรเลงได้กี่จังหวะ หาได้เกี่ยวไม่ ที่สำคัญคือความสามารถในการสะกดผู้คนด้วยวิธีการบรรเลงพิณพระจันทร์ของคุณชายต่างหาก"



    สิ้นคำ เขาก็ล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้ออาภรณ์ตนเองแล้วนำถุงใส่เงินออกมายื่นให้ "ในถุงนี้ทั้งหมดคือค่าแรงของคุณชายในวันนี้ นำไปใช้ได้ตามสบาย หากมิพอก็สามารถมาขอเพิ่มจากข้าได้เสมอนา"



    มองถุงเงินในมือของอีกฝ่ายครู่หนึ่ง นัมกุงโดวิจึงส่ายศีรษะแล้วค่อยเอื้อมไปรับมาอย่างมิเต็มใจนัก "เถ้าแก่ ข้าบอกท่านกี่หนแล้วว่าเพียงให้ข้าวทาน ให้ที่พักพิงแก่ข้าก็เป็นเรื่องดีมากแล้ว เหตุใดจึงต้องให้ค่าแรงเสริมอีกเล่า"



    "แหม ข้าเองก็เป็นถึงเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยม หากตอบแทนผู้มีพระคุณแค่การให้ข้าวให้ที่พักจักมิเป็นการขายหน้าเอาหรือ คุณชายอย่าได้เกรงใจกันเลย ถือเสียว่าเป็นการช่วยมิให้มีผู้ใดมานินทาข้าเรื่องให้ค่าแรงแก่คนงานน้อยไปด้วย"



    "ข้าบอกท่านแล้วว่าข้าหาใช่..." เขากำลังจักกล่าวต่อว่า /ผู้มีพระคุณ/ ทว่าก็นึกขึ้นมาได้เสียก่อนว่าหากเอ่ยเช่นนี้ออกไป คงได้ติดอยู่ในบทสนทนาเช่นนี้ไม่จบไม่สิ้นแน่ จึงเปลี่ยนคำพูดแทน "...ช่างเถิด วันนี้กิจแสดงการบรรเลงพิณพระจันทร์ของข้าเสร็จเร็วกว่าที่คาดการณ์เอาไว้มาก ยามนี้ตะวันใกล้ลับลาเป็นเวลาที่อากาศดียิ่ง แผงลอยอาหารข้างนอกคงเริ่มตั้งขายกันบ้างแล้ว เหมาะแก่การออกไปเดินเล่นยิ่งนัก"



    ได้ยินเช่นนั้น เถ้าแก่ก็เอ่ยถามว่า "เช่นนั้นระหว่างที่คุณชายออกไปข้างนอก ต้องการให้ข้าดูแลพิณพระจันทร์ชั่วคราวให้หรือไม่"



    "อืม ฝากเถ้าแก่ด้วย"



    หลังฝากเครื่องดนตรีไปกับอีกฝ่ายแล้ว นัมกุงโดวิจึงเดินกลับเข้าห้องพักตัวเองไปเปลี่ยนอาภรณ์ให้เป็นสีซีดธรรมดาในทันใด ขณะกำลังมองเงาสะท้อนของใบหน้าผ่านถ้วยน้ำอยู่นั้น เขาก็อดคิดถึงบ้านเกิดที่ตนจากมาขึ้นมาเป็นมิได้

    นานแล้วที่มิได้กลับไปเยี่ยมบิดามารดา นานแล้วที่มิได้ลงเหยียบลานฝึกดาบซึ่งเคยเป็นสถานที่โปรดปราณสมัยเด็ก นานแล้วที่มิได้ประคองนามของทายาทตระกูลเอาไว้ในฝ่ามือคู่นี้

    ทว่าจักนานถึงเพียงใด การทำการบุ่มบ่ามอย่างหารถม้าพากลับไปยังตระกูลนัมกุง ก็เป็นเรื่องที่มิควรทำอยู่ดี

    เวลานี้เป็นเวลาแห่งสงคราม หากเข้าเมืองไปตอนนี้ในฐานะทายาทแห่งตระกูลนัมกุงคงมีแต่ความตายเท่านั้นที่รอเขาอยู่ เนื่องจากทั้งเมืองถูกเหล่าทหารมารยึดไปหมดแล้วนั่นเอง

    และนี่คือสาเหตุที่นัมกุงโดวิถูกส่งมายังเมืองแห่งนี้ ที่ปลอดภัยไร้การรุกรานจากเหล่าทหารมาร ให้ใช้ชีวิตตัวคนเดียวเพียงลำพังไปก่อน จนกว่าข่าวลือของตระกูลจักส่งมาถึง เขาควรอดทนรออยู่ในเมืองนี้ไปก่อน

    ยังนับว่าโชคดีที่สมัยยังเด็ก ทางตระกูลได้สั่งสอนเรื่องการเล่นเครื่องดนตรีจำพวกสายอย่างพิณพระจันทร์มาด้วย นัมกุงโดวิจึงมีความสามารถเช่นการบรรเลงดนตรีติดตัวมาด้วยเล็กน้อย แม้จักถนัดดาบมากกว่าการดีดสายเล่นดนตรีเป็นไหนๆ ทว่าในเมื่ออาชีพนักดาบมิเป็นที่ต้องการต่อผู้ใด อีกทั้งตัวเขาเองยังต้องปกปิดตัวตนที่แท้จริงเอาไว้อยู่ จึงคอยพัฒนาด้านการบรรเลงพิณพระจันทร์ตั้งแต่ก้าวออกห้องโถงหลักของตระกูลจนมาเหยียบเมืองนี้มาโดยตลอด

    เมื่อมั่นใจในฝีมือของตัวเองอีกหน่อยแล้วก็เดินไล่ของานทำมากมาย จนมาหยุดอยู่ตรงโรงเตี๊ยมแห่งนี้ในที่สุด นับจากนั้นเป็นต้นมานัมกุงโดวิก็คอยบรรเลงพิณพระจันทร์ให้เหล่าแขกของโรงเตี๊ยมได้ฟังแทบทุกวัน อีกทั้งยังค้นพบว่าตนมีความสามารถในการดึงดูดผู้คนให้มาฟังเพลงที่บรรเลงได้อย่างมิต้องออกแรงมากได้อีกด้วย แม้ความจริงจักรู้ตัวว่าความสามารถทางการบรรเลงเพลงมิได้ดีอย่างที่คนเหล่านั้นว่าก็ตาม
    Tap to full screen .Repost is prohibited
    🌋
    Let's send reactions!
    Replies from the creator

    recommended works