backstageในห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่ถูกเตรียมไว้สำหรับผู้เข้าร่วมรายการที่ต้องถ่ายทำสำหรับวันนี้ ผู้ที่เข้าออกได้นั้นมีแต่คนที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่มีชื่อติดอยู่บนประตูห้องเท่านั้น แม้แต่เจ้าของรายการจะเข้าไปก็ยังต้องขออนุญาตก่อน แต่สำหรับเมเนเจอร์ที่เป็นผู้ดูแลส่วนตัวจัดการแทบจะทุกเรื่องของคนในห้องตอนนี้แล้วนั้นไม่ใช่ เขามีสิทธิ์เข้าออกห้องนี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องให้ใครอนุญาต
"นั่นหมายความว่า 'ห้องนี้ก็มีแค่พวกเรา' ไม่ใช่เหรอ ลินลินน์"
ไอดอลหนุ่มที่กำลังโด่งดังในช่วงนี้หันเก้าอี้มาทางผู้จัดการส่วนตัวของเขาที่กำลังจัดแต่งทรงผมให้ ก่อนจะดึงข้อมือคนที่ไม่ทันตั้งตัวให้ล้มลงมานั่งบนตักตัวเอง
"อ๊ะ อยู่ที่นี้ต้องเรียกว่าเมเนเจอร์นี่นะ"
ไม่แค่หยอกล้อเปล่า ๆ แขนข้างนึงก็โอบเข้ากับเอว ส่วนอีกมือ ก็ลูบแผ่นหลังของผู้จัดการหนุ่มผ่านเสื้อเชิ้ตบาง ๆ ที่เขาใส่อยู่
"ถ้ายังรู้ตัวขนาดนี้ ก็ควรรู้ด้วยสิว่า เราไม่ควรทำแบบนี้กันที่นี่ โครเน่"
ผู้จัดการหนุ่มที่ชื่อลินน์เอามือยันร่างตัวเองไว้ไม่ให้เข้าใกล้ไอดอลตรงหน้ามากไปกว่านี้ แม้ทั้งร่างของเขาจะโดนล็อคให้นั่งอยู่บนตักนั่นแล้วก็ตาม
"อะไรกัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย กลัวอะไรกันล่ะ"
ได้ยินแบบนี้แล้วคิ้วของผู้จัดการก็กระตุกเล็กน้อย
"ฉันล่ะอยากรู้จริง ๆ แฟนคลับพวกนั้นคลั่งใคล้อะไรในตัวนายกันขนาดนั้น"
"ถ้างั้นก็ลองถามแฟนคลับคนแรกดูสิ"
ไม่อยากจะยอมรับนักหรอก แต่ไอ้แฟนคลับคนแรกที่ว่านั่นก็นั่งอยู่บนตักนี่ไง
"จะบอกว่านายตกแฟนคลับทุกคนด้วยวิธีนี้หรือไง"
"ฮ่า ๆๆ อย่าถามอะไรที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้สิ"
แหงสิ ถึงจะบอกว่าเป็นไอดอลกับผู้จัดการส่วนตัว แต่พวกเขาก็คบกันมาได้พักใหญ่แล้ว บ้านก็อยู่บ้านเดียวกัน ไปไหนมาไหนแทบจะตัวติดกันยี่สิบสี่ชั่วโมง ถ้าเอาเขาขึ้นไปนั่งสัมภาษณ์บนเวทีด้วยได้คงหิ้วเขาขึ้นไปด้วยแล้ว ดีที่สถานะที่คนอื่นเห็นเป็นแค่ไอดอลหนุ่มที่กำลังมาแรงและผู้จัดการส่วนตัวของเขาเท่านั้นจะตัวติดกันก็ไม่แปลกอะไร
เวลาอยู่ต่อหน้าสื่อลินน์ก็จะถอยออกมาเว้นระยะห่างให้อยู่ในจุดที่กำลังพอดี แต่ถ้ามีเวลาสักเล็กน้อยที่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพังแล้วนั้น ใครอีกคนกลับไม่เคยปล่อยให้มันเสียเปล่าเลยโดยไม่สนใจว่าจะมีใครมาเจอเข้าสักวัน ซึ่งเรื่องนั้นทำให้ลินน์ที่เป็นผู้จัดการส่วนตัวปวดหัวอยู่ไม่น้อย
ใช่ว่าเขาไม่อยากประกาศให้คนอื่นรู้ว่าไอ้คนที่อยู่ในแสงไฟที่พวกเธอหลงใหลกันน่ะมีเจ้าของแล้ว แต่ถ้าทำแบบนั้นก็ไม่รู้ว่าจะกระทบกับหน้าที่การงานของคนเป็นไอดอลอย่างไรบ้าง และถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะค่อย ๆ แง้มบอกออกไปทุกครั้งที่โดนสัมภาษณ์จากนิตยสารว่ามีคนรักอยู่ และแฟนคลับทุกคนก็ดูจะไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนั้นก็ตามที แต่ถ้าโดนจับได้ว่าเป็นคนใกล้ตัวก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น
"แต่ถามแบบนี้ ไม่ใช่ว่าจริง ๆ นายก็ชอบให้ทำอะไรแบบนี้เหรอ"
'ปิ๊บ... คุณโครเน่ใกล้ถึงเวลาขึ้นเวทีแล้ว ถ้าเตรียมพร้อมแล้วออกมาได้เลยนะครับ'
เสียงสัญญาณตามมาด้วยเสียงของสต๊าฟดังออกมาจากลำโพงในห้องที่ถูกแขวนอยู่ข้างทีวีขนาดเล็กในมุมห้องที่ฉายฉากบนเวทีให้คนในห้องได้ดูเพื่อเตรียมตัวยามถึงคิวตัวเองต้องออกไปขึ้นเวที และในห้องไม่มีไมค์สำหรับตอบกลับเพราะงั้นการที่จะบอกให้สต๊าฟรับรู้ว่าได้รับข้อความแล้วก็มีเพียงแค่เดินออกไปเตรียมตัวข้างเวทีเท่านั้น
ราวกลับเสียงสวรรค์สำหรับลินน์ที่อยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้า คายไม่ออก แต่สำหรับโครเน่แล้วนี่มันเสียงมารขัดจังหวะชัด ๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องคลายแขนที่โอบเอาไว้ออก พร้อมสีหน้าหงอย ๆ ออกมา จนมีคนใจอ่อนจนได้นั่นแหละ มือของผู้จัดการหนุ่มประคองแก้มของไอดอลหนุ่มเอาไว้ให้อยู่นิ่ง ๆ ก่อนจะประทับจูบลงไปบนริมฝีปากบนใบหน้าที่มีแต่ความเสียดายนั่น และรีบผละออกมาอย่างรวดเร็ว ลุกขึ้นหนีออกจากพันธนาการไปที่ประตูก่อนจะหันกลับมาชี้นิ้วออกคำสั่ง
"ไป ทำ งาน"
และก็รีบวิ่งออกไป แม้แก้มของเขาจะเริ่มขึ้นสีระเรื่อก็ตามที ทิ้งให้ไอดอลหนุ่มเจ้าของชื่อบนประตูห้องนั่งหัวเราะอยู่ตามลำพังในห้อง
ก็น่าจะได้คำตอบของคำถามแล้วนะ แต่คิดว่าก็คงโดนเอามาจี้ถามทีหลังอยู่อีกอยู่ดีนั่นแหละ...