Fictober 2020 Day 4 : สถาปนิกชายคนนั้นเป็นสถาปนิก เราเจอกันครั้งแรกเพราะฉันบอกเพื่อนคนหนึ่งว่าอยากสร้างบ้านของตัวเองในที่ดินที่อดีตสามีมอบเอาไว้ในมรดก แล้วก็ได้รับการแนะนำมา
หลังจากสามีตาย ฉันก็ตัดสินใจว่าจะแยกบ้านออกมาอยู่ลำพัง และวางแผนสร้างบ้านน้อยๆโดยไม่ข้องเกี่ยวกับใคร
บ้านหลังสัมถะสองชั้นไม่เล็กไม่ใหญ่ ออกแบบเผื่ออยากมีครอบครัวเล็กๆ และใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างปลอดภัย
ฉันไม่มีคู่ชีวิตอีกแล้ว แต่ไม่เศร้าอะไร ดีใจเสียด้วยซ้ำ เพราะไม่มีตำแหน่งเมียมาล่ามขาไว้ ไม่มีภาระ ไม่ต้องทนอยู่เฉยๆเพื่อเป็นไม้ประดับไปวันๆ
บ้านหลังนี้ จะเป็นหลักฐานว่าฉันเป็นอิสระ
แน่นอนว่าตอนที่บอกไปว่าอยากได้บ้านแบบไหน และฉันอยู่อย่างไร สถาปนิกหนุ่มคนนั้นก็ยิ้มออกมา
"จากที่คุณเล่าความต้องการมา คุณดูเป็นคนคิดการณ์ไกลและใส่ใจมากนะครับ ผมจะพยายามเต็มที่เลย"
คำพูดอันอ่อนโยน คำพูดที่รู้สึกเหมือนอยากฟังจากปากใครสักคนทำให้ฉันอุ่นในใจ แต่ฉับพลันก็แทนที่ด้วยคมมีดเย็นๆที่แทงหัวใจ ว่าที่ผ่านมาฉันไม่เคยได้อะไรจากคนๆนั้นเลย
"ถ้าสามีเก่าชมฉันได้อย่างคุณก็คงดีค่ะ"
ไม่ได้รักกันตั้งแต่ต้นแท้ๆ แต่กลับนึกถึงขึ้นมาซะได้ ความเกลียดชังนี่มันน่ากลัวจริงๆ
"..."
เขาไม่กล้าพูดต่อบทสนทนานั่น ส่วนฉันก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องแบบบ้านต่อ และเราก็ไม่แตะเรื่องนี้กันอีก
จากนั้น คุณกล้า สถาปนิกหนุ่มคนนั้นพร้อมกับทีมงานคนอื่นๆดูแลบ้านหลังแรกของฉันอย่างตั้งใจ
รู้ตัวอีกทีก็ตั้งตารอเจอ ตั้งใจเลือกชุดและน้ำหอมมากกว่าปกติ และทุกครั้งที่เจอกัน ก็ไม่มีครั้งไหนที่ทำให้เสียเวลาเลย แม้จะเป็นวันที่งานไม่คืบหน้าตามคาดก็ตาม เพราะนั่นแปลว่าจะได้เจอกันมากขึ้น
แต่ยิ่งบ้านเป็นรูปเป็นร่างมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้ว่าเวลาใกล้หมดแล้ว จะไม่เหลือเหตุผลให้เจอกันอีก
“หนุ่มโสดสุดเจนเทิลโปรไฟล์ดีเบอร์นั้น ขืนช้าเดี๋ยวนกนะครับคุณนาย”
เจ้าเด็กแสบพูดไว้ตอนที่ไปปรึกษา
นั่นสินะ ถ้าเป็นเด็กคนนี้คงเดินหน้าอย่างไม่ลังเล อาจจะไปจบที่ไหนต่อไหนในคืนเดียวก็ได้
“งั้นผมสอนมุกเกี่ยวให้เอามั้ย คุณนายไม่เคยจีบใครนี่นา”
“เอาค่ะ” ฉันตอบโดยไม่ลังเล เจ้าเด็กแสบยิ้มบางๆออกมา มองแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นฝ่ายเด็กกว่าขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“เด็ดเดี่ยวขนาดนี้แต่ไม่ยอมรุกเขาสักที เสียดายเวลาแทนจัง แต่ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวผมช่วย คุณนายทำได้อยู่แล้ว”
เห็นรอยยิ้มมั่นใจแบบนั้นทีไรก็เข้าใจจริงๆว่าทำไมอดีตสามีถึงชอบเด็กคนนี้นัก
'แต่ถ้าไม่ได้ผลฉันตบคะน้านะ' ฉันพูดติดตลกไป แต่ดันทำทางนั้นหน้าตึงไปชั่วครู่ เหมือนจะไม่ขำ
'...งั้นก่อนอื่นคุณอายช่วยเลิกล้อเล่นหน้าตายแบบนี้เถอะครับ…ถึงนั่นจะเป็นเสน่ห์ของคุณนายก็เถอะ'
เจ้าเด็กแสบหัวเราะออกมาตอนประโยคท้าย
ชมกันใช่ไหมนั่น...
จากนั้นในวันหนึ่งที่ฉันแวะมาดูสถาปนิกหนุ่มคนนั้นคุมงานก่อสร้าง ระหว่างที่กำลังปรึกษารายละเอียดต่างๆอยู่ ฉันก็พูดโพล่งขึ้นมา
"คุณกล้า ฉันอยากได้อีกอย่างค่ะ"
ดูเหมือนเขาจะตกใจนิดหน่อย สงสัยเพราะก่อนหน้านี้ฉันเพิ่งบอกไปเองแท้ๆว่าไม่ต้องการปรับอะไรเรื่องการแต่งห้องครัวเพิ่มแล้ว
"ครับ ว่าไงครับคุณอาย" เขายิ้มอ่อนโยนออกมา ดวงตาสีน้ำตาลนั่นดูไม่มีแววของความขัดใจแต่อย่างใด
ฉันนึกถึงสิ่งที่เด็กแสบคนนั้นสอนมา แล้วพูดออกไป
"ฉันอยากได้คุณมากินข้าวด้วยกันวันเสาร์นี้ตอน5โมงเย็นค่ะ ได้หรือเปล่าคะ"
ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดออกไปด้วยสีหน้าแบบไหน แต่รู้สึกตึงๆคิ้วนิดหน่อยจนต้องยกมือขึ้นกดๆหัวคิ้วตัวเอง
เขาหน้าเหวอเห็นได้ชัด
หรือว่าลูกไม้แบบเด็กคนนั้นจะใช้กับคนแบบนี้ไม่ได้ผล...
"ได้สิครับ"
จู่ๆเขาก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มกว้าง รอยยิ้มแบบที่ฉันไม่เคยเห็น
ความรู้สึกนี้คืออะไรกันนะ...โดนใจ กำใจ กร๊าวใจ
อะไรก็ไม่เข้าใจหรอก แต่อยากรู้สึกแบบนี้บ่อยๆจัง...
จะว่าไปคะน้าคงดีใจที่ไม่โดนฉันตบ