ถึงเขาคนนั้น ที่ยืนอยู่หลังรั้วลวดหนามผมเจอแทฮุนครั้งแรก หลังรั้วลวดหนามนั้น
ณ วันหนึ่งในช่วงฤดูร้อน ผมบังเอิญเดินผ่านบ้านหลังหนึ่งที่มีลวดกั้น แทฮุนยืนอยู่อีกฝั่ง เขามองผมด้วยดวงตาเรียวเล็กสีนิล แทนการส่งเสียงเรียก
ผมมองสำรวจอีกฝ่ายที่คาดว่า น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นเพียงเด็กวัยมัธยม สวมเสื้อนักเรียนที่ปักชื่อของเขา และใส่เสื้อกันหนาวตัวโคร่ง แม้ว่าจะอากาศร้อนก็ตาม
ผิวสีขาวซีดตัดกับริมฝีปากแดงระเรื่อ ใบหน้างดงามชวนฝัน ทำให้เขาดูเผินๆ แล้วเหมือนเด็กผู้หญิง แต่มีรูปร่างสูงโปร่งที่ทำให้ดูราวกับพวกนักกีฬา
วันแรกที่พบกัน เราเพียงแค่สบตากัน ก่อนผมจะนึกขึ้นได้ ว่าตอนนี้กำลังจะไปเรียนพิเศษสายเสียแล้ว จึงเลิกสนใจเขา แล้วเดินจากมา
ผมไม่เจอกับเขาอีกเลย จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไป ผมก็ขึ้นชั้นมัธยมปลายแล้ว
ในวันที่ฝนกำลังตั้งท่า ผมคิดว่าตัวเองคงเดินกลับบ้านไม่ทันแน่ๆ ครั้งนั้นผมได้ยินเสียงเรียกดังขึ้นมาจากอีกด้านของรั้วกั้น
"มาหลบข้างในก่อนสิ"
เป็นแทฮุนเหมือนเดิมที่ยืนอยู่ตรงนั้น เขายังคงสวมใส่เสื้อผ้าตัวเดิมกับวันแรกที่เราพบกัน
ผมไม่มีตัวเลือกอื่น นอกจากต้องมุดรั้วหนามพวกนั้นเข้าไป แต่โชคยังดี ที่มีบางส่วนของรั้วถูกตัดจนเป็นช่องโหว่งพอให้คลานเข้าไปได้
แทฮุนหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นผมยืนขึ้น ในสภาพที่เสื้อและกางเกงเปื้อนไปด้วยดิน
"ฉันเห็นนายเดินผ่านที่นี่ทุกวันเลย" เขาเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน
"นี่เป็นทางผ่านไปที่เรียนพิเศษน่ะ"
"ถ้างั้นนายก็เรียนพิเศษทุกวันเลยน่ะสิ" แทฮุนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก ยิ่งยามที่ผมนั่งนับให้ฟังว่า ต้องเรียนกี่วิชา มีอะไรบ้าง เขายิ่งหน้าซีดเผือด ทำท่ายกมือขึ้นมาปิดหูทั้งสองข้าง
"พอเลย แค่ได้ยินก็น่าเบื่อแล้ว"
ผมหัวเราะบ้าง ที่ร่ายมานั่น ยังไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ แต่แทฮุนไม่ฟังแล้ว เขาเปลี่ยนเรื่องเสียก่อน
"ตอนนายเห็นฉันครั้งแรก นายตกใจมั้ย"
ผมเลิกคิ้ว งุนงงกับคำถามเล็กน้อย คิดว่าคงกล่าวถึงรั้วลวดหนามหน้าบ้าน
"ถ้าหมายถึงการเอาลวดหนามมาขึงหน้าบ้าน ก็คงไม่หรอก ถือว่าเป็นวิธีกันขโมยที่ดี" ผมพูดติดตลก
"ก็จริง บ้านหลังนี้โจรมันชุกชุมอย่างกับยุง"
พวกเราคุยกันไปเรื่อยๆ จนกระทั้งฝนที่สาดเทลงมาค่อยๆ หยุดลง แสงอาทิตย์เริ่มสอดส่องลงมาสะท้อนกับแอ่งน้ำบนพื้น ผมจึงรู้ว่า นี่ได้เวลาขอตัวกลับแล้ว
"ดูเหมือนวันนี้ผมจะโดดเรียนพิเศษซะแล้ว"
"งั้นถ้าอยากโดดอีกเมื่อไหร่ ก็แวะมาได้เสมอนะ" แทฮุนพูดทิ้งท้าย ก่อนผมจะเดินจากออกมา
ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นไกลๆ ตอนเหลียวหลังกลับไปมองอีกครั้ง คือแทฮุนที่ยืนอยู่จุดเดิม กับฉากหลังเป็นบ้านที่สภาพทรุดโทรมลง
หลังจากวันนั้นผมถูกดุอย่างหนักที่ไม่ไปเรียนพิเศษ นั่นทำให้ผมไม่สามารถทำตามในสิ่งที่แทฮุนพูดได้ แม้ว่าจะอยากทำสักแค่ไหนก็ตาม แต่ผมยังคงเดินผ่านเส้นทางนั้น และแวะทักทายกับแทฮุนเสมอทุกครั้งที่เจอกัน
จนกระทั่งเรียนจบมัธยม ผมต้องย้ายไปเรียนที่เมืองนอก
วันนั้นผมตั้งใจจะมาบอกลาแทฮุนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินทางในวันรุ่งขึ้น ผมยังจำเส้นทางเดิมนั้นได้เสมอมา เพียงแค่เห็นรั้วลวดหนามที่คุ้นตา ผมก็รู้ทันที่ว่าถึงแล้ว
แต่น่าเศร้า วันนั้นแทฮุนเองก็ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว
ผมยืนมองซากปรักหักพังไม่เหลือขิ้นดี ไม่มีรั้วกั้น ไม่มีบ้านหลังเก่า และที่สำคัญ ไม่มีแทฮุนยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามนั่นอีกแล้ว
ท้ายที่สุด ผมก็ต้องออกเดินทาง ทั้งที่ยังไม่ได้ร่ำลากัน
43 ปีผ่านไป
ผมกำลังเดินอยู่ท่ามกลางป่าธรรมชาติที่ห่างไกลจากเมืองหลวงพอสมควร
ช่วงเวลาหลังเกษียณที่ผมวางแผนไว้ คือการได้ลองมาปีนเขา และตั้งแคมป์ในป่าสักครั้งก่อนตาย แม้ว่าจะต้องมาเพียงลำพังก็ตาม
ใกล้กันกับแหล่งลำธาร ผมหยุดพัก นั่งลงรินน้ำจากกระติก ดื่มเพื่อคลายร้อน ก่อนจะพักเหนื่อยชั่วครู่แล้วค่อยเดินทางต่อ
ฉับพลันสายตาผมเหลือบไปเห็นสิ่งคุ้นเคยตั้งอยู่ไม่ไกล ด้วยเพราะสายตาไม่ค่อยดี ผมจำเป็นต้องลุกเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เพื่อความแน่ใจ
เลื่อนสายตาลงมาจากป้ายเตือนห้ามเข้า คือรั้วลวดหนามที่กั้นเราเอาไว้ แล้วฝั่งตรงข้าม คือคนที่ผมตามหามาโดยตลอด
แทฮุนยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ที่เดิม หลังรั้วลวดหนาม
แม้เวลาจะผ่านไปหลายสิบปีแล้วก็ตาม แต่แทฮุนก็ยังคงงดงามไม่ต่างจากคราแรกที่พวกเราเคยพบกัน
ผิวขาวซีดกับริมฝีปากแดงระเรื่อ ยังคงยิ้มแย้มอย่างสดใส ในขณะที่กาลเวลาทำให้ผิวหนังของผมเริ่มหย่อนยาน แต่กับแทฮุนแล้ว เขายังคงมีใบหน้าไม่ต่างกับเด็กวัยมัธยม
"จียอนอู" เสียงของแทฮุนยังคงคุ้นหูราวกับเพิ่งได้ฟังเมื่อวันก่อน เขายกมือขาวซีดขึ้นมาตรงหน้าคล้ายว่ากำลังทำท่าเชิญชวน
"เข้ามาสิ"
ผมไม่ลังเลที่จะก้าวข้ามรั้วลวดหนามอีกแล้ว เหมือนวันนั้นที่ได้เข้าไปหลบฝนในบ้านหลังเก่า
แม้ว่าตอนนี้ข้างหลังของแทฮุน จะเป็นเพียงป่ารกร้าง ที่เต็มไปด้วยความมืดมิดจนมองไม่เห็นแสงสาดส่องเข้ามาแล้วก็ตาม
____
END.