🧸 over the moon ※ part 24🌙🌙🌙
ในตอนที่เจมส์ถือถาดแอปเปิ้ลพายอบเสร็จใหม่ๆฝีมือหวานใจของเขา มากดกริ่งหน้าบ้านเพื่อนแล้วไม่มีใครออกมาเปิดให้ เขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
ถึงซิเรียส แบล็คจะเป็นเพื่อนเลวที่ปล่อยให้แขกยืนรอได้เป็นชั่วโมง แต่รีมัสที่เขารู้จักไม่ใช่
ในเมื่อรออยู่นานก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียที มือปราบมารพอตเตอร์จึงร่ายมนตร์สะเดาะกลอนประตู เชื้อเชิญตัวเองเข้าไปข้างใน แล้วทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกเจียนคลั่งของคนที่เติบโตใกล้ชิดกันมาราวกับพี่น้อง
หนุ่มแว่นหน้ามนในวัยยี่สิบตอนต้นพุ่งไปยังทิศทางของเสียงด้วยใจระทึก แล้วเขาก็ยิ่งประหลาดใจเมื่อเห็นสองพี่น้องตระกูลแบล็คกำลังยืนหัวเสียอยู่หน้าเตาผิง ผงฟลูตกเกลื่อนอย่างที่ถ้าคนรักสะอาดอย่างลิลี่มาเห็นเป็นได้ขมวดคิ้วมุ่น ซิเรียสกับเรกูลัสเพิ่งจะรู้สึกว่ามีบุคคลที่สามมาเยี่ยมเยือนก็ตอนที่เจมส์เอ่ยขัดขึ้นมานั่นเอง
"เกิดอะไรขึ้นน่ะ พวกนายสองคนทำอะไรกัน"
จากนั้นเขาก็ถูกสองพี่น้องที่ใกล้คลุ้มคลั่งสาดข้อมูลใส่ด้วยสีหน้าร้อนรน อุปสรรคขัดขวางการกรองข้อมูลเห็นจะหนีไม่พ้นซิเรียสที่จับไหล่เพื่อนเขย่าไปมา เรกูลัสดูจะใจเย็นกว่า แต่ท่าทางทำอะไรไม่ถูกของเจ้าตัวก็ไม่ได้ช่วยปลอบใครเลย
เจมส์ยังอุตส่าห์จับใจความได้ว่า เมื่อคืนเรกูลัสมาหาพี่ชายกับรีมัสเพื่อเตือนว่าคุณนายแบล็คทราบข่าวสมาชิกคนล่าสุดของตระกูลแล้ว และอยากพบรีมัส
สองพี่น้องลงความเห็นว่าไม่ควรไปพบ และถึงกับให้เรกูลัสค้างคืนเพื่อช่วยกันวางแผนรับมือขั้นต่อไป แต่ช่วงมื้อเช้าของวันนี้ รีมัสที่ดื้อหลบในมาตั้งแต่ไหนแต่ไรกลับใช้ผงฟลูเดินทางไปบ้านใหญ่ตระกูลแบล็คตามลำพัง
สิ่งที่ทำเอาสองพี่น้องนั่งไม่ติดที่คือการที่รีมัสปิดการเชื่อมต่อของจุดเดินทาง ด้วยมนตราที่ซับซ้อนสมกับที่เป็นอัจฉริยะของโลกเวทย์มนตร์ พวกเขาจึงไม่สามารถใช้ผงฟลูเดินทางตามไปได้
"เจ้าพวกงั่งนี่ ก็แล้วทำไมไม่ไปใช้ของบ้านฉัน"
ตั้งแต่แต่งงานมีลูกแล้ว เจมส์ก็มักจะคอยระวังคำพูดคำจาเพื่อไม่ให้แฮร์รี่จำอะไรไม่เหมาะสมไปพูดต่อ แต่คนหัวร้อนก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนกันได้อย่างถ่องแท้ เขาต้องข่มความอยากเดินไปบ้องกะโหลกเพื่อนกับน้องชายคนละที จากนั้นก็หันหลังเดินปึงปังนำทางสองพี่น้องไปยังบ้านของตัวเอง
บทคนเรามันจะขาดสติ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังคิดกันไม่ได้
ลิลี่ได้ฟังเรื่องราวคร่าวๆ แล้วตัดสินใจผลักหลังสามีให้ร่วมเดินทางไปกับสองพี่น้องตระกูลแบล็ค ดูจากดวงตาสีเขียวที่ทอประกายกร้าวห้าวเป้งของแม่ทูนหัวแล้ว ถ้าไม่ติดว่าต้องมีคนดูแฮร์รี่ เธอคงจะคว้าไม้กายสิทธิ์บุกเดี่ยวไปแบบไม่รอใคร นี่แหละลิลี่ที่เขาทั้งรักและหลงใหลมาตั้งแต่ปีหนึ่ง
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหลังปัดฝุ่นผงคละคลุ้งจากเตาผิงบ้านใหญ่ตระกูลแบล็คออกไปพ้นคลองสายตา
ครีเชอร์ที่ตกใจแทบสิ้นสติถูกเรกูลัสขอร้องแกมขู่บังคับให้นำทางพวกเขาไปหารีมัส แล้วเจ้าเอลฟ์ชราก็ทำหน้าที่ได้ดีมากแม้จะอกสั่นขวัญหายกับการที่คุณชายรองผู้แสนสุภาพอ่อนโยนกับมันเสมอถึงกับออกปากขู่ พอมาหยุดอยู่ตรงห้องที่ทำให้สองพี่น้องขมวดคิ้ว ซิเรียสที่ทนรอไม่ไหวอีกก็ตบบานประตูเปิดเข้าไปด้านใน
"รีมัส เป็นอะไรมั้ย"
เสียงตะโกนลั่นคฤหาสน์ช่างขัดกับเสียงหัวเราะและกลิ่นขนมหวานที่ลอยฟุ้งไปทั่ว รีมัสที่มีน้ำตาคลอตรงหางตาทำเอาคนรักยิ่งสติเตลิด แต่เจมส์ที่เห็นว่าพ่อมดหมาป่าไม่ได้ร้องไห้ รีบคว้าคอเสื้อซิเรียสไว้ก่อนเจ้าตัวจะกระโจนไปหารีมัสตามความตั้งใจ
"อ้าว เจมส์ ทำไมมาอยู่ที่นี่ด้วยอีกคนล่ะ"
"พวกเราต่างหากที่ต้องถาม นายมาทำอะไรที่นี่"
เจมส์กระชับมือที่รั้งคอเสื้อเพื่อนให้แน่นขึ้น ให้ตายสิ เขารู้สึกอย่างกับว่าตัวเองกำลังจับสายจูงหมาตัวโตเลย รีมัสกะพริบตาไล่น้ำสีใสที่ขอบตาก่อนจะคลี่ยิ้ม
"มาคุยกับคุณนายแบล็--"
หญิงวัยกลางคนผู้งดงามที่นั่งร่วมโต๊ะกับรีมัสกระแอ้มไอ คนอ่อนวัยกว่าจึงรีบเปลี่ยนคำเรียกที่ยังต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าจะเรียกได้ชิน
"มาคุยกับ 'คุณแม่' นิดหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรหรอก"
คราวนี้แม้แต่เจมส์เองยังตกใจจนเผลอปล่อยมือที่กำคอเสื้อเพื่อนรักเอาไว้ แต่สองพี่น้องเองก็นิ่งอึ้งกับข้อมูลใหม่จนไม่ทันได้ทำอะไรเช่นกัน สุดท้ายคนที่ตั้งสติได้เร็วที่สุดก็คือคนที่อายุน้อยที่สุดอย่างเรกูลัส แบล็ค
"คุยเหรอครับ แล้วพวกคุณคุยอะไรกัน แม่...แม่พูดอะไรไม่ดีใส่รีมัสเขาหรือเปล่า"
แววตาสีเทาของคุณนายแบล็คสะท้อนความเจ็บปวด แต่เพียงชั่วครู่ เธอก็กลับไปนั่งเชิดหน้า ในเมื่อพฤติกรรมต่อต้านอย่างรุนแรงของเธอมันเป็นสิ่งที่เด็กๆจำฝังใจ จะทำให้เชื่อว่าเธอไม่ได้ประสงค์ร้ายก็ดูจะเป็นเรื่องที่คล้ายกับฝันเฟื่อง โดยเฉพาะลูกชายคนโตที่มองเธอตาขวาง แล้วก้าวเข้ามาดึงแขนคนรักให้ลุกขึ้นยืน
"ไป กลับกันได้แล้ว"
"แพดส์ ใจเย็นก่อนสิ"
"คนเขาไม่มีใจจะต้อนรับ จะอยู่ต่อไปทำไม นี่มันบ้าน 'คนอืื่น' เขา"
วาจาเชือดเชือนทิ่มแทงเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่วัลเบอร์ก้าผลักไสลูกในไส้มาแล้ว เธอได้แต่ข่มความเจ็บปวดไว้ผ่านการกำด้ามพัดแน่น สมควรแล้วที่ซิเรียสจะตั้งตัวเป็นศัตรู ตลอดเวลาเธอไม่เคยเป็นแม่ที่ดีของเด็ก...ไม่สิ ชายคนนี้เลย
แต่ลูกสะใภ้ที่เธอปฏิเสธมาตลอดก็ทำให้เธอต้องประหลาดใจอีกครั้ง
"อยากกลับก็กลับไปคนเดียวสิ ฉันยังคุยกับคุณแม่ไม่จบเลย"
ซิเรียสมองคู่สมรสของตัวเองเหมือนกำลังมองสิ่งมีชีวิตนอกโลก เขามองสลับระหว่างใบหน้ารั้นเหลือของรีมัสกับสีหน้ากระอักกระอ่วนของมารดา ก่อนจะกัดฟันกรอด
"นี่คุณทำบ้าอะไรกับเขา กับคนท้องก็ยังกล้าทำได้ลงคองั้นเหรอ คุณนี่มัน---"
"พอทีซิเรียส ฉันปกติดี ไม่ได้โดนมนตร์สะกดใจอะไรทั้งนั้นแหละ"
เมื่อซิเรียสยังเอาแต่มองเหมือนไม่เชื่อหู รีมัสจึงแกะมือของสามีที่กำข้อมือเขาแน่น เอามากุมประสานดข้าด้วยกัน ดวงตาสีเขียวจ้องลึกเข้าไปในลูกแก้วสีเทาที่ได้รับสืบทอดมาจากสุภาพสตรีที่นั่งข้างเขา
"มองให้ดีๆสิ ฉันดูเหมือนคนมีอาการถูกสะกดใจหรือเปล่า" รีมัสผินหน้าไปมองเจมส์ "หรือถ้าไม่เชื่อ ให้เจมส์ตรวจดูก็ได้ มือปราบมารอย่างพวกนายฝึกเรื่องพวกนี้กันจนถนัดแล้วไม่ใช่เหรอ"
"เป็นไปได้ยังไง ทำไมนายถึงอยากคุยกับ...กับ..." นัยน์ตาของซิเรียสสับสนเหมือนหลงทาง แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่กว้างขึ้นของคนสำคัญ เขาก็เริ่มรวบรวมสมาธิและขวัญที่กระเจิงกลับมาได้ทีละน้อย
"คุณแม่กับฉันกำลังเลือกชื่อลูกของเราจากสาแหรกตระกูลบนผนังห้องนี้ ก่อนพวกนายมานี่ก็ได้ชื่อดีๆมาเยอะเลยล่ะ"
สายตาของผู้มาใหม่ทั้งสามหันไปมองแผนภาพเชื้อสายตระกูลแบล็คซึ่งทอดยาวเต็มพื้นที่ และจุดที่วัลเบอร์ก้าลบมันไปจนทิ้งรอยไหม้ไว้ คือตำแหน่งที่เคยมีชื่อของซิเรียสอยู่ วันนี้ชื่อของเขาได้กลับมาปรากฏอีกครั้งพร้อมกับรีมัส ลูปิน แล้วยังมีเส้นสายอันจ้อยที่เชื่อมระหว่างเขากับรีมัส กรอบเล็กๆยังว่างเปล่า รอให้เติมชื่อสมาชิกใหม่ลงไป
"ถ้าเป็นผู้ชายจะให้ชื่อว่าไรเจล ถ้าเป็นผู้หญิงก็ตั้งว่าเซรีน เป็นไง เพราะใช่มั้ย คุณแม่น่ะเป็นคนที่รสนิยมดีเอามากๆเลยนะ"
คราวนี้ห้องทั้งห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่นแปลกๆ วัลเบอร์ก้าไอค่อกแค่กแก้เก้อและซ่อนใบหน้าใต้พัดลูกไม้ สายตาของลูกชายทั้งสองยิ่งทำให้เธอหน้าร้อนผ่าว ส่วนตัวเชื่อมสัมพันธ์ที่ยืนยิ้มมองคนตระกูลแบล็คอย่างอ่อนโยนก็ยิ่งคลี่ยิ้มกว้างขึ้นไปอีก
"คุณแม่น่ะตื่นเต้นกับลูกของเรามากๆเลยนะ"
ในวินาทีนั้น เจมส์ พอตเตอร์รู้แค่เพียงว่า
ต่อให้รอยยิ้มของรีมัสจะเจิดจ้าเพียงใด ก็ใช่ว่าจะสมานรอยร้าวของคนในตระกูลได้ภายในวันสองวัน สายตาหวาดระแวงไม่ไว้ใจที่คนร่วมสายเลือดส่งให้กันมันแจ่มชัดมากจนชวนให้อึดอัดใจ
คนที่เข้าใจบาดแผลที่ซิเรียสได้รับจากแม่ผู้ให้กำเนิดดีกว่าใครก็คือเขา
แต่บาดแผลย่อมมีวันทุเลา และเขาเชื่อมั่นอย่างไม่อาจหาคำอธิบายได้ ว่ากาลเวลาจะช่วยเยียวยา วันคืนที่สองแม่ลูกจะสามารถปรับความเข้าใจกันได้จะต้องมาถึง แม้ว่ากว่าจะถึงตอนนั้น หลานอาจจะโตจนเข้าโรงเรียนแล้วก็ตามที....
🌙🌙🌙