🧸 over the moon ※ part 23🌙🌙🌙
กล่าวกันว่าในภาวะที่เผชิญกับความเครียด ร่างกายคนเรามักปฏิเสธอาหาร เรียกได้ว่าจดจ่ออยู่กับเรื่องที่รบกวนจิตใจมากเกินกว่าจะหาอะไรใส่ท้อง
แต่สำหรับคนท้องแล้วนับเป็นข้อยกเว้น
เขากำลังบำรุงชีวิตน้อยๆที่แสนสำคัญของเขากับซิเรียสให้อิ่มหนำสุขภาพแข็งแรง และด้วยความพยายามปรนนิบัติจัดหาอาหารรสเลิศมาเติมได้ไม่รู้จักหมดจักสิ้นของพี่น้องตระกูลแบล็ค ในที่สุดรีมัสก็มีน้ำมีนวลขึ้นมามากในระดับที่น่าพอใจ
เมื่อ(ในที่สุดก็)กลับมามีพฤติกรรมกินอาหารตรงเวลาได้แล้ว รีมัส ลูปินจึงไม่ปฏิเสธคำเชิญร่วมโต๊ะอาหารจากเจ้าบ้านตระกูลแบล็ค
อีกฝ่ายไม่ถามไถ่ว่าเขามาทำอะไรที่หน้าเตาผิงของห้องนั่งเล่นในคฤหาสน์ตระกูลแบล็คอันโอ่โถงและคลุ้งไปด้วยกลิ่นอำนาจ ราวกับมั่นใจอยู่แล้วว่าเขาจะมาหาด้วยตัวเอง
การคาดคะเนของสตรีสูงศักดิ์ผู้นี้ไม่ผิดไปจากความเป็นจริง สุดท้ายก็เป็นเขาเองที่ไม่ฟังคำขอร้องแกมบังคับของซิเรียส
เขาก็แค่ไม่ชอบเป็นฝ่ายรอตั้งรับ
ความกล้าหาญจนเข้าขั้นบ้าบิ่นเป็นคุณสมบัติของเด็กบ้านกริฟฟินดอร์ และหมวกคัดสรรเองก็เห็นถึงคุณสมบัติข้อนี้
วัลเบอร์ก้าไม่เคยปกปิดความดูหมิ่นเหยียดหยาม ทุกครั้งที่พบหน้ากันไม่ว่าจะในสถานการณ์แบบไหน เธอก็มักจะส่งผ่านความรู้สึกในใจผ่านดวงตาสีเข้มเยียบเย็น รีมัสอดใจหายไม่ได้ว่ามันช่างคล้ายกับซิเรียส แต่ก็เพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น สามีของรีมัสมักจะทอดมองเขาด้วยความรักล้นทะลักอยู่เสมอ
เนื้อย่างแบบกึ่งสุกกึ่งดิบแบบที่ชวนให้น้ำลายสอ ออมเล็ตและซุปข้าวโพดร้อนๆจากฝีมือเชฟของตระกูลแบล็ค แค่กลิ่นก็กระตุ้นความอยากอาหาร ยิ่งรีมัสคุ้นชินกับรสมืออาหารขั้นเลิศแล้วยิ่งทำให้ไม่อาจตั้งท่ามากความได้ เขาจับช้อนซุป จากนั้นภาพก็ตัดไปเป็นจานอาหารที่เกลี้ยงเกลาราวกับเสกให้หายไป กว่ารีมัสจะได้สติก็เป็นตอนที่ได้ยินเสียงคู่สนทนากระแอมไอและเอ่ยเสียงเรียบๆ
"ถ้าเธอยังกินไหว ประเดี๋ยวจะให้เขายกพุดดิ้งออกมาเสิร์ฟต่อ"
แน่นอนว่ากระเพาะของแม่ที่กำลังตั้งท้องนั้นราวกับหลุมดำอันน่าอัศจรรย์ใจ แต่รีมัสกระดากใจเกินกว่าจะก้มหน้าก้มตากินต่อ ถึงเวลาที่เขาควรจะเข้าเรื่องได้เสียที ไม่รู้ว่าซิเรียสจะตามมาลากเขากลับบ้านตอนไหน หรือความจริงแล้วเจ้าตัวอาจจะโผล่มาแล้วแต่โดนกันตัวไว้ก็เป็นได้
"ไม่เป็นไรครับ ผมทราบมาว่าคุณอยากพบผม มีธุระอะไรหรือครับ"
ชั่วขณะหนึ่ง แววตาที่เย่อหยิ่งของสตรีตรงหน้าเขาวูบไหวและลอบมองลงไปตรงหน้าท้องของรีมัส ถึงจะบอกว่สรีมัสมีน้ำมีนวลขึ้น แต่อันที่จริงก็เพียงแค่อ้วนขึ้นมานิดหน่อย ยิ่งเขาใส่ชุดถักไหมพรมที่ทำให้ตัวใหญ่เกินความจริงยิ่งยากจะผิดสังเกต
"ถ้าถามว่าท้องจริงหรือท้องลม ผมยืนยันครับว่าในท้องผมมีเด็กอยู่จริงๆ"
คำยืนยันของรีมัสดูจะมีน้ำหนักยิ่งกว่าสิ่งที่เค้นถามจากหมอประจำตระกูล อย่างไรเสียความลับก็ไม่มีบนโลก แล้วคุณหมอก็ยังต้องเกรงอำนาจผู้นำตระกูลที่แท้จริงอย่างวัลเบอร์ก้า หญิงสูงศักดิ์ผู้แสนเย็นชาขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะถอนหายใจ
"เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมถึงไม่รีบบอก"
"จำเป็นด้วยหรือครับ"
"เธอพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร"
"คุณตัดซิเรียสออกจากตระกูลแล้ว เด็กคนนี้ก็ไม่นับว่าเป็นหลานของคุณ ทำไมเรายังต้องรายงานให้คุณทราบด้วยล่ะครับคุณผู้หญิง"
หากซิเรียสมาอยู่ตรงนี้คงได้ปรบมือให้ในความปากจัดของคู่ชีวิต แต่รีมัสไม่ได้มีเจตนาตามที่พูดไป เขารู้ว่ากับสตรีใจเด็ดเช่นนี้ การพูดจี้ตรงใจไปเลยจะทำให้เรื่องคืบหน้าได้ดีกว่า แถมยังเป็นโอกาสให้คู่สนทนาที่ปากแข็งได้ถามใจตัวเองอีกครั้งด้วย
"นี่เธอ--"
"ตั้งแต่วันที่คุณตัดเขาออกจากตระกูล เขาก็เป็นของผมแล้ว" รีมัสวางมือลงบนหน้าท้องที่นูนขึ้นเป็นรูปร่างของความสุข รอยยิ้มแผ่กระจายไปทั่วทั้งใบหน้า "รวมถึงของล้ำค่าที่เขามอบให้ผมด้วย"
หญิงงามวัยกลางคนตรงหน้าเขาไม่เอ่ยอะไร ทว่าสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนกลับสื่อความกังวลใจจนคนใจอ่อนแบบรีมัสต้องยอมอ่อนให้ เขาเก็บสะสมความไม่พอใจที่วัลเบอร์ก้าสร้างบาดแผลในใจให้สองพี่น้องตระกูลแบล็คไว้มากมาย และเมืื่อเธอมีทีท่าว่าจะยื่นมือมาหาลูกของเขา มีหรือที่รีมัสจะยอมทน
แต่การระเบิดความไม่พอใจใส่นั้นไม่ใช่คำตอบ อย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเด็กในท้องเขามีสายเลือดตระกูลแบล็คไหลวนอยู่
"ผมขอถามคุณอีกครั้ง คุณนายแบล็ค ทำไมคุณถึงอยากพบผม"
แม้เสียงที่ใช้จะนุ่มนวล แต่ความนัยอันเฉียบคมไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าแต่อย่างใด กลับเหมือนโดนคาดคั้นเสียด้วยซ้ำ
"เธอ....แน่ใจแล้วเหรอว่าจะให้เด็กคนนั้นเกิดมาทั้งอย่างนี้"
"คุณหมายถึง---"
"ฉันหมายความว่า" ผิวสีขาวซีดของวัลเบอร์ก้าทำให้ดูออกว่าเจ้าตัวหูแดงอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งเธอเบือนหน้าหันข้างยิ่งเผยความจริงข้อนี้มากขึ้นไปอีก "เด็กในท้องเธอน่ะ มีความเป็นไปได้ว่าจะกลายเป็นมนุษย์หมาป่า ต้องเตรียมการอะไรอีกหลายอย่าง ไหนจะเรื่องการควบคุม ไหนจะผลกระทบต่อร่างกายคนท้องอีก จัดการกันไปถึงไหนแล้ว"
ปฏิกิริยาของรีมัสคือการนิ่งใบ้อยู่นานนับนาที ถ้อยคำที่วัลเบอร์ก้าพร่างพรูออกมาราวกับคนเสียสติทำให้เขาต้องใช้เวลาซึมซับมันพอสมควร ก่อนจะเผลอยกมือขึ้นขัดราวกับอยู่ในชั่วโมงเรียน
"เดี๋ยวนะครับ คุณนายแบล็ค คุณรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร นี่คุณไปหาข้อมูลมาหลังจากรู้เรื่องพวกผมเหรอครับ"
พอถูกจี้ตรงจุดกลับทำให้หญิงผู้นี้หุบปากฉับ เธอสะบัดพัดยกขึ้นปิดบังใบหน้ากว่าครึ่งท่อน เหลือเพียงดวงตาที่ยังสับสนและกระดากอาย ทว่าคนที่ตกใจยิ่งกว่ากลับเป็นรีมัส
"...คุณอยากพบผมเพราะไม่กล้าเผชิญหน้ากับซิเรียสใช่ไหมครับ"
ถึงอย่างไรก็เป็นความสัมพันธ์ที่เกือบจะเรียกได้ว่าแตกหักกันไปแล้ว ซิเรียสอาจจะถูกตัดออกจากตระกูล แต่เจ้าตัวก็ยังไปร่วมงานเลี้ยงของตระกูลทุกปีเพราะเห็นแก่น้องชาย สองแม่ลูกที่หัวแข็งและดื้อรั้นไม่แพ้กัน อยู่มาวันหนึ่งจะให้มาถามไถ่กันดีๆคงเป็นเรื่องเพ้อพกกลางวันแสกๆ
"ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณไม่ถามเอาจากเรกูลัส--"
"เด็กสองคนนั่นน่ะ พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเธอแล้วก็ไม่เคยไว้ใจฉันเลย"
รีมัสนึกอยากอธิบายว่าก็เพราะท่าทีแข็งขืนต่อต้านที่เธอทำกับเขานั่นล่ะที่ทำให้สองพี่น้องพยายามกันรีมัสออกห่างจากเธอให้ได้มากที่สุด แต่ใครจะคาดคิดว่าสมาชิกใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาอย่างไม่คาดคิดมาก่อนอาจจะช่วยเชื่อมความสัมพันธ์แม่ลูกที่บาดหมางเรื้อรังมายาวนานได้
"คุณยอมรับเด็กคนนี้หรือครับ ทั้งที่เขาไม่ใช่เลือดบริสุทธิ์ แถมยังอาจจะเป็นมนุษย์หมาป่าด้วย..."
"บ้านหลังนี้มันเงียบเหงาลงทุกวัน" แทนที่จะตอบคำถามตามตรง วัลเบอร์ก้า แบล็คกลับทอดสายตาไปไกล จนไปหยุดอยู่ตรงรูปเหมือนของสามีผู้ล่วงลับ
"นับวันฉันก็ยิ่งได้รู้ว่าการยึดติดอยู่แต่กับเลือดบริสุทธิ์มันทำให้เราเสียอะไรหลายๆอย่างไป แทนที่จะสู้รบกับเลือดเนื้อเชื้อไข สู้เอาเวลามาวางแผนรับมือมินิซิเรียสในอนาคตจะดีกว่า"
คำสารภาพนี้เรียกรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าคนฟัง "แล้วถ้าเด็กออกมาเหมือนผมล่ะครับ คุณจะเสียใจมากไหม"
"พูดอะไรอย่างนั้น ยิ่งเหมือนเธอสิยิ่งดี บ้านนี้น่ะมีสไตล์เข้มๆเยอะจนเกินไปแล้ว"
สุภาพสตรีผู้ไม่ถนัดแสดงความรู้สึกจากใจเท่าใดนักได้พยายามอย่างมากแล้วที่จะเผยความยินดีออกมา ยังคงต้องให้เวลาเธอผู้นี้ปรับตัวอีกพักใหญ่ และรีมัสไม่คิดจะไปเร่งเธอ เพราะเรายังมีเวลากันอีกมาก
tbc.
🌙🌙🌙